ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ชาวกูย"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
ป้ายระบุ: แก้ไขด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยเว็บอุปกรณ์เคลื่อนที่
สี่ขีด (คุย | ส่วนร่วม)
ย้ายเนื้อหาบางส่วนไปที่กลุ่มรัฐข่า, รวมหัวเรื่องที่เหลือเข้าด้วยกัน
 
(ไม่แสดง 17 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 10 คน)
บรรทัด 3: บรรทัด 3:
{{Infobox ethnic group|
{{Infobox ethnic group|
|group=ชาวกูย
|group=ชาวกูย
|image=Kambodscha - indigene Kuy (51844243794).jpg
|image= Kuy women in traditional attires.jpg
|image_caption =
|image_caption = Nhean Vorng ชาวกูยจากประเทศกัมพูชา
|population= > 500,000 (ประมาณ)
|population= > 500,000 (ประมาณ)
| region1 = ไทย
| region1 = ไทย
บรรทัด 20: บรรทัด 20:
|related= [[Bru people|บรู]], [[ชาวต่าโอย|ต่าโอย]], [[ชาวเขมร|เขมร]]
|related= [[Bru people|บรู]], [[ชาวต่าโอย|ต่าโอย]], [[ชาวเขมร|เขมร]]
}}
}}

กลุ่มชาติพันธุ์ที่คนไทยหลายคนเรียกว่า '''ส่วย''' นั้น ก็คือ ชนชาติพันธุ์ '''กูย''' (Kuy, Kui), '''กวย''' (Kuoy) คำว่า '''กุย''' '''กูย โกย กวย''' แปลว่า '''คน''' ในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาและต้นกรงรัตนโกสินทร์ ชนชาติพันธุ์นี้ถูกเรียกเหมารวมกับชนชาติพันธุ์อื่นๆว่า '''เขมรป่าดง'''<ref>[[จิตร ภูมิศักดิ์]]. ''ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ''. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : ชนนิยม. 2556, หน้า 259</ref> เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ลุ่ม[[แม่น้ำโขง]] บริเวณแนว[[ทิวเขาพนมดงรัก|เขาพนมดงรัก]]จนถึงบริเวณลาวตอนกลางและ[[ลาว]]ใต้
'''กูย''', '''กวย''' หรือ '''ส่วย''' เอกสารไทยในอดีตเรียก '''กอย'''<ref>{{cite book | author =| title = ประชุมสุภาษิตเขมร คือ สุภาษิตโบราณ สุภาษิตสอนเด็ก สุภาษิตสอนบุตร รวม 3 เรื่อง | url = https://archives.orst.go.th/pic/HcPic/c01-s02-87/2020-04-16_11-31-28_C01-S02-87.pdf | publisher = โสภณพิพรรฒนากร | location = พระนคร | year = 2467 | page = 2 }}</ref> ส่วนเอกสารกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเรียกรวมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในบริเวณเดียวกันว่า '''เขมรป่าดง'''<ref>[[จิตร ภูมิศักดิ์]]. ''ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ''. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : ชนนิยม. 2556, หน้า 259</ref> เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยกระจายตัวในแถบภูมิภาคอีสานใต้ของ[[ประเทศไทย]] บริเวณแนว[[ทิวเขาพนมดงรัก]]กับทางตอนเหนือของ[[ประเทศกัมพูชา]] เรื่อยไปจนถึงลุ่ม[[แม่น้ำโขง]] จนถึงบริเวณตอนกลางและตอนใต้ของ[[ประเทศลาว]]


อนึ่งคำว่า "ส่วย" ไม่ใช่ชื่อเรียกของชนชาติพันธุ์ แต่เป็นคำเรียกของฝ่ายปกครองที่ใช้มาตั้งแต่สมัยปลาย[[กรุงศรีอยุธยา]]และต้น[[กรุงรัตนโกสินทร์]] หมายถึง กลุ่มชนเผ่าหลายเผ่าในพื้นอีสานใต้ในอดีต(อย่างน้อยก็ 4 ชนเผ่าขึ้นไป ได้แก่ ชนเผ่า[[เขมร]] '''กูย''' ข่า [[ลาว]] กุลา ฯลฯ)ที่ต้องส่งสวยหรือถวายเครื่องราชบรรณาการให้ทางการ (กรุงเทพฯ) ในสมัยโบราณ เรียกชนเผ่าแถบอีสานใต้นี้เหมารวมรวมทั้งทุกชนเผ่าว่า "เขมรป่าดง" หรือเรียกอีกอย่างว่า "พวกส่วย" '''ชาวกูย''' มักจะถูก[[ชาวกัมพูชา]]เรียกว่า ชนชาติเดิม
อนึ่งคำว่า "ส่วย" ไม่ใช่ชื่อเรียกของชนชาติพันธุ์ แต่เป็นคำเรียกของฝ่ายปกครองที่ใช้มาตั้งแต่สมัยปลาย[[กรุงศรีอยุธยา]]และต้น[[กรุงรัตนโกสินทร์]] หมายถึง กลุ่มชนเผ่าหลายเผ่าในพื้นอีสานใต้ในอดีต(อย่างน้อยก็ 4 ชนเผ่าขึ้นไป ได้แก่ ชนเผ่า[[เขมร]] '''กูย''' ข่า [[ลาว]] กุลา ฯลฯ)ที่ต้องส่งสวยหรือถวายเครื่องราชบรรณาการให้ทางการ (กรุงเทพฯ) ในสมัยโบราณ เรียกชนเผ่าแถบอีสานใต้นี้เหมารวมรวมทั้งทุกชนเผ่าว่า "เขมรป่าดง" หรือเรียกอีกอย่างว่า "พวกส่วย" '''ชาวกูย''' มักจะถูก[[ชาวกัมพูชา]]เรียกว่า ชนชาติเดิม

*กูยหรือกวยเขาพระวิหาร อาศัยอยู่บริเวณเขาพระวิหารและเชี่ยวชาญคล้องช้างป่า ตั้งเเต่สมัยอาณาจักรเจนละบก ตามจารึกศิวะศักติ ปราสาทพระวิหาร พบที่ ตำบลกู่ [[อำเภอปรางค์กู่]] [[จังหวัดศรีสะเกษ]] ตำบลสำโรงทาบ [[อำเภอสำโรงทาบ]] [[จังหวัดสุรินทร์]] ตำบลตรึม ตำบลตรมไพร [[อำเภอศีขรภูมิ]] ตำบลศรีณรงค์ [[อำเภอศรีณรงค์]] และตำบลจอมพระ ตำบลลุ่มระวี ตำบลเป็นสุข [[อำเภอจอมพระ]] [[จังหวัดสุรินทร์]]
* กูยหรือกวยอัตตปือเเสนปาง พบที่ ตำบลหนองบัว ตำบลคาละเเมะ ตำบลเเตล [[อำเภอศีขรภูมิ]] ตำบลกระโพ [[อำเภอท่าตูม]] ตำบลบุเเกรง ตำบลเมืองลีง [[อำเภอจอมพระ]] และตำบลพระเเก้ว ตำบลกระเทียม [[อำเภอสังขะ|อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์]]


* กูยเญอ พบที่ [[อำเภอเมืองศรีสะเกษ]] และ [[อำเภอราษีไศล]] [[จังหวัดศรีสะเกษ]]
* กูยเญอ พบที่ [[อำเภอเมืองศรีสะเกษ]] และ [[อำเภอราษีไศล]] [[จังหวัดศรีสะเกษ]]
บรรทัด 28: บรรทัด 32:
* กูยมะไฮ พบที่ [[อำเภอเมืองจันทร์]] ส่วนใหญ่อาศัยในเขต ตำบลเมืองจันทร์ และ บ้านโนนธาตุ [[ตำบลปราสาท]] [[อำเภอห้วยทับทัน]] จังหวัด[[ศรีสะเกษ]]
* กูยมะไฮ พบที่ [[อำเภอเมืองจันทร์]] ส่วนใหญ่อาศัยในเขต ตำบลเมืองจันทร์ และ บ้านโนนธาตุ [[ตำบลปราสาท]] [[อำเภอห้วยทับทัน]] จังหวัด[[ศรีสะเกษ]]
* กูยปรือใหญ่ พบที่ [[อำเภอขุขันธ์]] เป็นกลุ่มชนชาติพันธ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบพื้นที่เหนือ[[พนมดงรัก]]มานานแล้ว โดยเฉพาะตำบลปรือใหญ่ [[อำเภอขุขันธ์]] [[จังหวัดศรีสะเกษ]]
* กูยปรือใหญ่ พบที่ [[อำเภอขุขันธ์]] เป็นกลุ่มชนชาติพันธ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบพื้นที่เหนือ[[พนมดงรัก]]มานานแล้ว โดยเฉพาะตำบลปรือใหญ่ [[อำเภอขุขันธ์]] [[จังหวัดศรีสะเกษ]]
* กูยเขาพระวิหาร พบที่ ตำบลกู่ [[อำเภอปรางค์กู่]] [[จังหวัดศรีสะเกษ]] ตำบลสำโรงทาบ [[อำเภอสำโรงทาบ]] [[จังหวัดสุรินทร์]] ตำบลตรมไพร[[อำเภอศีขรภูมิ]]ตำบลศรีณรงค์ [[อำเภอศรีณรงค์]][[อำเภอสังขะ]] และ ตำบลจอมพระ [[อำเภอจอมพระ]] [[จังหวัดสุรินทร์]]


ข้อเสนอแนะ เห็นควรใช้ว่า กวย หรือกูย ก็พอจะรับได้ ซึ่งตรงกับชื่อชนเผ่านี้มากกว่าคำว่า "ส่วย" และจากการสืบค้นในเอกสารอื่น ๆ พบว่า ในภาษาเขมรเรียกว่า កួយ (អក្សរសព្ទខ្មែរ: /កួយ/) ในภาษาละตินเขียนว่า kuoy (អក្សរសព្ទឡាតាំង: /kuoy/)
ข้อเสนอแนะ เห็นควรใช้ว่า กวย หรือกูย ก็พอจะรับได้ ซึ่งตรงกับชื่อชนเผ่านี้มากกว่าคำว่า "ส่วย" และจากการสืบค้นในเอกสารอื่น ๆ พบว่า ในภาษาเขมรเรียกว่า កួយ (អក្សរសព្ទខ្មែរ: /កួយ/) ในภาษาละตินเขียนว่า kuoy (អក្សរសព្ទឡាតាំង: /kuoy/)
บรรทัด 41: บรรทัด 44:
#[[เสถียร ทำมือ|เสถียร สุภากุล]] (เสถียร ทำมือ) [[นักร้อง]]
#[[เสถียร ทำมือ|เสถียร สุภากุล]] (เสถียร ทำมือ) [[นักร้อง]]
# [[ทัชชกร ยีรัมย์]] (จา พนม) ดารา นักแสดง
# [[ทัชชกร ยีรัมย์]] (จา พนม) ดารา นักแสดง

== ประวัติ ==
พ.ศ. 1974 (ปีกุน) ที่จากหลักฐานกฎหมายอยุธยาฉบับพ.ศ. 1974 ได้กล่าวถึงกษัตริย์ของเขมรที่นครธม ได้ทรงขอให้เจ้ากวยแห่งตะบองขะมุม ที่มีเมืองสำคัญอยู่ตอนใต้ของเมืองนครจำปาศักดิ์ ส่งทหารไปช่วยพระองค์ปราบขบถ สำเร็จแล้วประมุขของทั้งสองฝ่ายได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และออกกฎหมายให้คนสยามห้ามยกลูกสาวให้ชาวฝรั่ง อังกฤษ วิลันดา กับปิตัน กุลา มลายู แขก กวย และแกว ซึ่งเป็นคนต่างชาติต่างศาสนา(ที่มา:เอกสารของโครงการแผนที่วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ชายแดนไทย–กัมพูชา โครงการความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยภาษาและพัฒนาเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล)

พ.ศ. 2000 พงศาวดารเมืองละแวก กล่าวถีง กษัตริย์เขมร พระเจ้าธรรมราช ซึ่งครองอยู่พระนครหลวงได้ส่งทูตไปขอกองทัพจากกษัตริย์กวยแห่งตะบองขะมุม ที่มีเมืองสำคัญทางตอนใต้ของเมือง จำปาศักดิ์ ส่งทหารไปช่วยปราบกบฏ เมื่อกองทัพของพระเจ้าธรรมราชและเจ้ากวยแห่งตะบองขะมุมได้ปราบกบฏสำเร็จ ประมุขทั้งสองฝ่ายก็ได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ (ที่มา ไทย : ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม 2533:35-36)

พ.ศ. 2103 หลักฐานที่สนับสนุนแนวคิดนี้คือ พงศาวดารล้านช้าง กล่าวว่า “ในปี 2103 สมเด็จพระไชยเชษฐิราชต้องทำการปราบปรามพวกข่า และชนเผ่าต่างๆ ที่สร้างบ้านสร้างเมืองอยู่แถวฝั่งแม่น้ำโขงทางใต้นครเวียงจันทน์และใน ที่สุดพระองค์ได้หายสาบสูไปในคราวยกกองทัพไปปราบปรามพวกข่า ในแขวงอัตบือ (ที่มา ไทย : ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม 2533:35-36)

พ.ศ. 2114 สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช(จากอาณาจักรลานช้าง) ได้เสด็จออกปราบกบฏ ณ เมืองรามรักองการ แล้วสูญหายไปในศึกนั้น ชาวเมืองจึงได้อัญเชิญ พระเจ้าหน่อแก้ว พระโอรสของสมเด็จพระไชยเชษฐาธิราชซึ่งเพิ่งประสูติให้เสด็จขึ้นครองราชย์ (ที่มา:จากประวัติศาสตร์การก่อตั้งอาณาจักรลานช้าง ประเทศลาว)


พ.ศ. 2200 เป็นต้น มา จนถึงปลายอยุธยาตอนปลายปรากฏว่ามีชุมชนกวยเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีจนถึงจังหวัดบุรีรัมย์ แต่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือชนชาวกูยที่บ้านเมืองที บ้านโคกยาง(สังขะ) บ้านกุดหวาย (รัตนะบุรี) และบ้านโคกลำดวน(เมืองขุขันธ์) จังหวัดศรีสะเกษ

== พงศาวดาร หัวเมืองมณฑลอีสาน ==
[[หม่อมอมรวงศ์วิจิตร]] กล่าวไว้ใน[[พงศาวดาร]]หัวเมืองมณฑลอีสานกล่าวว่า เดิมพื้นที่ในมณฑล[[ลาว]]ทางนี้ เมื่อก่อน[[จุลศักราช]]ได้ 1,000 ปี ก็เป็นทำเลป่าดง ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกคนอันสืบเชื้อสายมาแต่[[ขอม]] ต่อมาเรียกกันว่า กูย, กวย, ส่วย ซึ่งยังมีอาศัยอยู่ในฝั่งโขงตะวันออก ซึ่งปรากฏหลักฐานการสร้าง[[ปราสาทหิน]] และจาก[[อิฐดินเผา]]จำนวนมากมีกระจายอยู่ทั่วไปในแถบ[[อิสานใต้]] [[ละโว้]] (ลพบุรี) ไปจนถึงในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง


== การเดินทางค้าขายและการขยายถิ่นฐาน ==
== การเดินทางค้าขายและการขยายถิ่นฐาน ==
{{บทความหลัก|กลุ่มรัฐข่า}}


ปลายพุทธศตวรรษที่ 19-20 เคยเป็นอาณาจักรหนึ่ง ชื่อว่าอาณาจักร "ตะบองคะมุน" ถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของเมือง [[จังหวัดกำปงธม|กำปงธม]] [[ประเทศกัมพูชา]]

ปลายพุทธศตวรรษที่ 19-20 เคยเป็นอาณาจักรหนึ่ง ชื่อว่าอาณาจักร "[[ตะบองคะมุน]]" ถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของเมือง [[จังหวัดกำปงธม|กำปงธม]] [[ประเทศกัมพูชา]]


ราชอาณาจักรกูย,กวย มีพื้นที่กว้างขวาง ปรากฏในพงศาวดาร[[นครจำปาสัก]]ว่า ทิศตะวันตกจรดแดน[[อยุธยา]]ที่ลำกะยุง[[พิมาย]] ทิศตะวันออกจดแดน[[ญวน]]ที่[[เทือกเขาบรรทัด]] ทิศใต้คงจะถึง[[เชียงแตง]]หรือ[[สตรึงเตรง|สตึงเตรง]] ที่โปรดให้ท้าวสุดไปปกครอง ทิศเหนือถึง[[สาละวัน]]ที่โปรดฯให้ท้าวมั่นไปปกครอง ดินแดนที่อ้างถึงนี้สันนิษฐานว่าเป็นราชอาณาจักรกูย,กวยที่นางแพงปกครองอยู่ก่อน แล้วมอบเวนอำนาจให้กับเจ้าหน่อกษัตริย์ต่อมา ปรากฏในพงศาวดาร[[นครจำปาสัก]]ตอน[[เจ้าศรีสร้อยสมุทรพุทธรางกูร]]ตั้งเจ้าเมือง
ราชอาณาจักรกูย,กวย มีพื้นที่กว้างขวาง ปรากฏในพงศาวดาร[[นครจำปาสัก]]ว่า ทิศตะวันตกจรดแดน[[อยุธยา]]ที่ลำกะยุง[[พิมาย]] ทิศตะวันออกจดแดน[[ญวน]]ที่[[เทือกเขาบรรทัด]] ทิศใต้คงจะถึง[[เชียงแตง]]หรือ[[สตรึงเตรง|สตึงเตรง]] ที่โปรดให้ท้าวสุดไปปกครอง ทิศเหนือถึง[[สาละวัน]]ที่โปรดฯให้ท้าวมั่นไปปกครอง ดินแดนที่อ้างถึงนี้สันนิษฐานว่าเป็นราชอาณาจักรกูย,กวยที่นางแพงปกครองอยู่ก่อน แล้วมอบเวนอำนาจให้กับเจ้าหน่อกษัตริย์ต่อมา ปรากฏในพงศาวดาร[[นครจำปาสัก]]ตอน[[เจ้าศรีสร้อยสมุทรพุทธรางกูร]]ตั้งเจ้าเมือง

พ.ศ. 1976 พระอัยการลักษณะอาญาหลวงระบุมิให้คนสยามยกลูกสาวให้ชาวฝรั่ง อังกฤษ วิลันดา กับปิตัน กุลา มลายู แขก กวย และแกว ซึ่งเป็นคนต่างชาติต่างศาสนา


พุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาค้าขายกับ[[อยุธยา]] เคยช่วยกษัตริย์[[เขมร]]ปราบกบฏ ต่อมา[[เขมร]]ได้ใช้ทางการทหารรบกับ[[ชาวกูย]]และผนวกรวมดินแดนเป็นส่วนหนึ่งกับ[[เขมร]] (ต้องรอการศึกษาต่อไป) ด้วยความชอบความอิสระและชอบการผจญภัย ได้อพยพขึ้นเหนือ เข้าสู่เมือง[[แขวงอัตตะปือ]] [[แขวงจำปาศักดิ์]] และ[[สาละวัน]] ทางตอนใต้ของ[[ลาว]] ตาม[[แม่น้ำโขง]]มาตั้งรกรากอยู่แถบอิสานทางด้าน[[แก่งสะพือ]] [[อำเภอโขงเจียม]] ได้แยกย้ายตั้งรกรากปลูกบ้านเรือนอยู่แถบนี้
พุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาค้าขายกับ[[อยุธยา]] เคยช่วยกษัตริย์[[เขมร]]ปราบกบฏ ต่อมา[[เขมร]]ได้ใช้ทางการทหารรบกับ[[ชาวกูย]]และผนวกรวมดินแดนเป็นส่วนหนึ่งกับ[[เขมร]] (ต้องรอการศึกษาต่อไป) ด้วยความชอบความอิสระและชอบการผจญภัย ได้อพยพขึ้นเหนือ เข้าสู่เมือง[[แขวงอัตตะปือ]] [[แขวงจำปาศักดิ์]] และ[[สาละวัน]] ทางตอนใต้ของ[[ลาว]] ตาม[[แม่น้ำโขง]]มาตั้งรกรากอยู่แถบอิสานทางด้าน[[แก่งสะพือ]] [[อำเภอโขงเจียม]] ได้แยกย้ายตั้งรกรากปลูกบ้านเรือนอยู่แถบนี้


พุทธศตวรรษที่ 21-22 อพยพมาจากฝั่งซ้ายของ[[แม่น้ำโขง]] อาศัยหนาแน่นในเขตพื้นที่จังหวัด[[สุรินทร์]] [[ศรีสะเกษ]] แต่ก็มีชาวกูยอาศัยในอิสานใต้มาก่อนแล้วเช่น กูยปรือใหญ่ พบที่ [[อำเภอขุขันธ์]] เป็นกลุ่มชนชาติพันธ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบพื้นที่เหนือพนมดงรักมานานแล้ว ไม่ได้อพยพมามาที่อื่น
พุทธศตวรรษที่ 21-22 อพยพมาจากฝั่งซ้ายของ[[แม่น้ำโขง]] อาศัยหนาแน่นในเขตพื้นที่จังหวัด[[สุรินทร์]] [[ศรีสะเกษ]] แต่ก็มีชาวกูยอาศัยในอิสานใต้มาก่อนแล้วเช่น กูยปรือใหญ่ พบที่ [[อำเภอขุขันธ์]] เป็นกลุ่มชนชาติพันธ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบพื้นที่เหนือพนมดงรักมานานแล้ว ไม่ได้อพยพมามาที่อื่น

พ.ศ. 2200 เป็นต้น มา จนถึงปลายอยุธยาตอนปลายปรากฏว่ามีชุมชนกวยเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีจนถึงจังหวัดบุรีรัมย์ แต่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือชนชาวกูยที่บ้านเมืองที บ้านโคกยาง(สังขะ) บ้านกุดหวาย (รัตนะบุรี) และบ้านโคกลำดวน(เมืองขุขันธ์) จังหวัดศรีสะเกษ


==การแต่งกายของชาวกูย==
==การแต่งกายของชาวกูย==
บรรทัด 86: บรรทัด 78:


== วัฒนธรรม ==
== วัฒนธรรม ==
ชนชาติพันธุ์นี้มักเรียกตัวเองว่า '''กูย''' หรือ '''กวย''' แปลว่า "คน" ใช้[[ภาษากูย]] หรือ "กวย" ซึ่งแตกต่างจากภาษาเขมรโดยสิ้นเชิง เป็นเอกลักษณ์ในการสื่อสารเฉพาะของชนเผ่า กวย พบเจอการใช้สำเนียงและคำควบกล้ำ"ร ล"ที่แตกต่างกันเปรียบเทียบความแตกต่างได้จากตัวอย่างเช่นภาษาไทยกลางจะแตกต่างจากภาษาไทยภาคใต้ ชาวกูย หรือ กวย นับถือศาสนาพุทธผสมและเชื่อเรืองภูตผีปีศาจ เจ้าที่ ในชุมชุนจะมีศาลผี,เจ้าที่ประจำหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านเรียกว่า"ผละโจ๊ะ" จะมีการบวงสรวงเจ้าที่เรียกว่า "แซนผละโจ๊ะ" (เซ่นผีหรือเจ้าที่)
ชนชาติพันธุ์นี้มักเรียกตัวเองว่า '''กูย''' หรือ '''กวย''' แปลว่า "คน" ใช้[[ภาษากูย]] หรือ "กวย" ซึ่งแตกต่างจากภาษาเขมรโดยสิ้นเชิง เป็นเอกลักษณ์ในการสื่อสารเฉพาะของชนเผ่า กวย พบเจอการใช้สำเนียงและคำควบกล้ำ"ร ล"ที่แตกต่างกันเปรียบเทียบความแตกต่างได้จากตัวอย่างเช่นภาษาไทยกลางจะแตกต่างจากภาษาไทยภาคใต้{{อ้างอิง}} ชาวกูย หรือ กวย นับถือศาสนาพุทธผสมและเชื่อเรืองภูตผีปีศาจ เจ้าที่ ในชุมชุนจะมีศาลผี,เจ้าที่ประจำหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านเรียกว่า"ผละโจ๊ะ" จะมีการบวงสรวงเจ้าที่เรียกว่า "แซนผละโจ๊ะ" (เซ่นผีหรือเจ้าที่)


[[ชาวกูย]] นิยมเลี้ยงช้างซึ่งสืบทอดจากบรรพบุรุษ ชาวกูยจะออกไปจับช้างป่าด้วยการคล้องช้าง ด้วยเชือกปะกำ ซึ่งทำจากหนังควาย ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ เมื่อได้ช้างมาก็จะฝึกเอาไว้ใช้งาน พงศาวดารเมืองละแวกก็มีบันทึกไว้ว่าในพุทธศตวรรษที่ 20 กษัตริย์เขมร ได้ขอร้องให้แจ้งกุยแห่ง ตะบองขะมุม (ชุมชนกุยทางด้านใต้ของนคร[[จำปาศักดิ์]]) ส่งกำลังไปช่วยปราบกบฏที่เมืองพระนคร ชาวกุยได้ร่วมขับไล่ ศัตรูจนบ้านเมืองเขมรเข้าสู่ภาวะปกติสุข {{อ้างอิง-เส้นใต้|หลักฐานนี้แสดงว่า ขณะที่ชนชาติไทยหรือสยามกำลังทำสงครามขับเคี่ยวกับขอมเพื่อสถาปนานครรัฐสุโขทัยขึ้นมานั้นชาวกุยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ บริเวณลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และแถบอีสานใต้อย่างเป็นปึกแผ่นแล้ว}}
[[ชาวกูย]] นิยมเลี้ยงช้างซึ่งสืบทอดจากบรรพบุรุษ ชาวกูยจะออกไปจับช้างป่าด้วยการคล้องช้าง ด้วยเชือกปะกำ ซึ่งทำจากหนังควาย ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ เมื่อได้ช้างมาก็จะฝึกเอาไว้ใช้งาน พงศาวดารเมืองละแวกก็มีบันทึกไว้ว่าในพุทธศตวรรษที่ 20 กษัตริย์เขมร ได้ขอร้องให้แจ้งกุยแห่ง ตะบองขะมุม (ชุมชนกุยทางด้านใต้ของนคร[[จำปาศักดิ์]]) ส่งกำลังไปช่วยปราบกบฏที่เมืองพระนคร ชาวกุยได้ร่วมขับไล่ ศัตรูจนบ้านเมืองเขมรเข้าสู่ภาวะปกติสุข {{อ้างอิง-เส้นใต้|หลักฐานนี้แสดงว่า ขณะที่ชนชาติไทยหรือสยามกำลังทำสงครามขับเคี่ยวกับขอมเพื่อสถาปนานครรัฐสุโขทัยขึ้นมานั้นชาวกุยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ บริเวณลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และแถบอีสานใต้อย่างเป็นปึกแผ่นแล้ว}}
บรรทัด 94: บรรทัด 86:
* "The Kuy People of Laos". Southeast Asian Peoples Research Center. Retrieved October 8, 2013.
* "The Kuy People of Laos". Southeast Asian Peoples Research Center. Retrieved October 8, 2013.
* http://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/index.php
* http://www.sac.or.th/databases/ethnicredb/index.php
*''พงศาวดาร หัวเมืองมณฑลอีสาน หม่อมอมรวงศ์วิจิตร''
* http://ipf.or.th/?p=230


{{Authority control}}
{{Authority control}}

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 18:03, 31 ตุลาคม 2567

ชาวกูย
ประชากรทั้งหมด
> 500,000 (ประมาณ)
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ
ประเทศไทย, ประเทศกัมพูชา, ประเทศลาว
ไทย400,000 (2006)[1]
กัมพูชา70,302 (2019)[2]
ลาว42,800 (2005)[3]
ภาษา
กูย และอื่น ๆ
ศาสนา
วิญญาณนิยม (หรือศาสนาผี), พุทธเถรวาท
กลุ่มชาติพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง
บรู, ต่าโอย, เขมร

กูย, กวย หรือ ส่วย เอกสารไทยในอดีตเรียก กอย[4] ส่วนเอกสารกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้นเรียกรวมกับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นในบริเวณเดียวกันว่า เขมรป่าดง[5] เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยกระจายตัวในแถบภูมิภาคอีสานใต้ของประเทศไทย บริเวณแนวทิวเขาพนมดงรักกับทางตอนเหนือของประเทศกัมพูชา เรื่อยไปจนถึงลุ่มแม่น้ำโขง จนถึงบริเวณตอนกลางและตอนใต้ของประเทศลาว

อนึ่งคำว่า "ส่วย" ไม่ใช่ชื่อเรียกของชนชาติพันธุ์ แต่เป็นคำเรียกของฝ่ายปกครองที่ใช้มาตั้งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยาและต้นกรุงรัตนโกสินทร์ หมายถึง กลุ่มชนเผ่าหลายเผ่าในพื้นอีสานใต้ในอดีต(อย่างน้อยก็ 4 ชนเผ่าขึ้นไป ได้แก่ ชนเผ่าเขมร กูย ข่า ลาว กุลา ฯลฯ)ที่ต้องส่งสวยหรือถวายเครื่องราชบรรณาการให้ทางการ (กรุงเทพฯ) ในสมัยโบราณ เรียกชนเผ่าแถบอีสานใต้นี้เหมารวมรวมทั้งทุกชนเผ่าว่า "เขมรป่าดง" หรือเรียกอีกอย่างว่า "พวกส่วย" ชาวกูย มักจะถูกชาวกัมพูชาเรียกว่า ชนชาติเดิม

ข้อเสนอแนะ เห็นควรใช้ว่า กวย หรือกูย ก็พอจะรับได้ ซึ่งตรงกับชื่อชนเผ่านี้มากกว่าคำว่า "ส่วย" และจากการสืบค้นในเอกสารอื่น ๆ พบว่า ในภาษาเขมรเรียกว่า កួយ (អក្សរសព្ទខ្មែរ: /កួយ/) ในภาษาละตินเขียนว่า kuoy (អក្សរសព្ទឡាតាំង: /kuoy/)

บุคคลที่มีชื่อเสียง

[แก้]


  1. สมบัติ บัญชาเมฆ (บัวขาว บัญชาเมฆ) นักมวย
  2. เสถียร สุภากุล (เสถียร ทำมือ) นักร้อง
  3. ทัชชกร ยีรัมย์ (จา พนม) ดารา นักแสดง

การเดินทางค้าขายและการขยายถิ่นฐาน

[แก้]

ปลายพุทธศตวรรษที่ 19-20 เคยเป็นอาณาจักรหนึ่ง ชื่อว่าอาณาจักร "ตะบองคะมุน" ถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของเมือง กำปงธม ประเทศกัมพูชา

ราชอาณาจักรกูย,กวย มีพื้นที่กว้างขวาง ปรากฏในพงศาวดารนครจำปาสักว่า ทิศตะวันตกจรดแดนอยุธยาที่ลำกะยุงพิมาย ทิศตะวันออกจดแดนญวนที่เทือกเขาบรรทัด ทิศใต้คงจะถึงเชียงแตงหรือสตึงเตรง ที่โปรดให้ท้าวสุดไปปกครอง ทิศเหนือถึงสาละวันที่โปรดฯให้ท้าวมั่นไปปกครอง ดินแดนที่อ้างถึงนี้สันนิษฐานว่าเป็นราชอาณาจักรกูย,กวยที่นางแพงปกครองอยู่ก่อน แล้วมอบเวนอำนาจให้กับเจ้าหน่อกษัตริย์ต่อมา ปรากฏในพงศาวดารนครจำปาสักตอนเจ้าศรีสร้อยสมุทรพุทธรางกูรตั้งเจ้าเมือง

พ.ศ. 1976 พระอัยการลักษณะอาญาหลวงระบุมิให้คนสยามยกลูกสาวให้ชาวฝรั่ง อังกฤษ วิลันดา กับปิตัน กุลา มลายู แขก กวย และแกว ซึ่งเป็นคนต่างชาติต่างศาสนา

พุทธศตวรรษที่ 20 เคยส่งทูตมาค้าขายกับอยุธยา เคยช่วยกษัตริย์เขมรปราบกบฏ ต่อมาเขมรได้ใช้ทางการทหารรบกับชาวกูยและผนวกรวมดินแดนเป็นส่วนหนึ่งกับเขมร (ต้องรอการศึกษาต่อไป) ด้วยความชอบความอิสระและชอบการผจญภัย ได้อพยพขึ้นเหนือ เข้าสู่เมืองแขวงอัตตะปือ แขวงจำปาศักดิ์ และสาละวัน ทางตอนใต้ของลาว ตามแม่น้ำโขงมาตั้งรกรากอยู่แถบอิสานทางด้านแก่งสะพือ อำเภอโขงเจียม ได้แยกย้ายตั้งรกรากปลูกบ้านเรือนอยู่แถบนี้

พุทธศตวรรษที่ 21-22 อพยพมาจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง อาศัยหนาแน่นในเขตพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ แต่ก็มีชาวกูยอาศัยในอิสานใต้มาก่อนแล้วเช่น กูยปรือใหญ่ พบที่ อำเภอขุขันธ์ เป็นกลุ่มชนชาติพันธ์ดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในแถบพื้นที่เหนือพนมดงรักมานานแล้ว ไม่ได้อพยพมามาที่อื่น

พ.ศ. 2200 เป็นต้น มา จนถึงปลายอยุธยาตอนปลายปรากฏว่ามีชุมชนกวยเกิดขึ้นอยู่ทั่วไป ตั้งแต่จังหวัดอุบลราชธานีจนถึงจังหวัดบุรีรัมย์ แต่ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือชนชาวกูยที่บ้านเมืองที บ้านโคกยาง(สังขะ) บ้านกุดหวาย (รัตนะบุรี) และบ้านโคกลำดวน(เมืองขุขันธ์) จังหวัดศรีสะเกษ

การแต่งกายของชาวกูย

[แก้]

การแต่งกายของชาวกูย หญิงสูงอายุจะนุ่งผ้าที่มีลายใส่เสื้อคอกระเช้า ใส่สร้อยคอลูกปัดเงิน นิยมใส่ดอกไม้หอมไว้ที่ติ่งหู ชาวกูยนิยมทอผ้า เช่น ผ้าจิกกะน้อย เป็นผ้าที่มีลักษณะคล้ายผ้าหางกระรอกมีสีเดียวเป็นผ้าสำหรับผู้ชายนุ่งในพิธีสำคัญๆ ลักษณะการนุ่งจะนุ่งพับจีบด้านหน้า เหมือนการนุ่งโสร่ง ผ้านุ่งสตรีนิยมทอหมี่คั่นเป็นทางแนวดิ่งยืนพื้นสีน้ำตาล มีหัวซิ่นพื้นสีแดงลายขิด ตีนซิ่นสีดำมีริ้วขาวเหลืองแดงผ้าจะกวี ผ้าที่สตรีใช้นุ่งในงานสำคัญๆ

ความเชื่อทางศาสนาของชาวกูยมีลักษณะผสมผสานระหว่างศาสนาพุทธและการนับถือผี (animism) และมีความเชื่อในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูบ้าง เช่น การบายศรีสู่ขวัญ การขึ้นบ้านใหม่ การแต่งงาน และอื่นๆ ภายในชุมชนชาวกูยจะมีทั้งวัดและศาลผีประจำหมู่บ้าน ชาวกูยบูชาผีบรรพบุรุษ ซึ่งเรียกว่า “ยะจัวะฮ” บนบ้านจะมีหิ้งบูชาผีบรรพบุรุษ มีธูปเทียนและกรวยที่เย็บจากใบตอง บางบ้านก็จะสร้างเป็นศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้กับศาลเจ้าที่ บ้านที่ไม่มีหิ้งหรือศาลก็อาจจะไปไหว้ผีบรรพบุรุษที่หิ้งหรือศาลของญาติพี่น้อง บ้านส่วนใหญ่จะมีหิ้งบูชาพระพุทธรูปไว้ในบ้านและจะสร้างศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้บ้าน การเซ่นบรรพบุรุษจะกระทำอย่างน้อยปีละครั้ง ชาวบ้านจะเริ่มพิธีโดยเอาข้าวที่สุกแล้ว กรวยใบตอง ผ้า สตางค์ หมากพลู เอามาวางไว้ใต้หิ้งบูชา ทำพิธีเซ่นโดยเอาน้ำตาลโรยบนข้าวสุก จุดเทียนปักลงที่ข้าว แล้วกล่าวขอให้ผีบรรพบุรุษคุ้มครองให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง ในขณะที่กล่าวก็เอาเหล้าค่อย ๆ รินลงขันอีกใบ เหมือนการกรวดน้ำเสร็จแล้วก็หยิบของที่ใช้เซ่นอย่างละนิดไปวางบนหิ้ง ที่เหลือก็เอาไว้รับประทานและใช้เอง

การเซ่นผีบรรพบุรุษนี้อาจจัดขึ้นในวาระอื่นๆ เช่น เมื่อมีเด็กคลอดได้ ๒-๓ วัน ก็จะทำพิธีดับไฟ โดยเชิญหมอตำแยและญาติผู้ใหญ่มาร่วมพิธี จัดขนม กล้วย ข้าวต้มมัด มาเซ่นผีบรรพบุรุษบอกว่ามีลูกมีหลานมาเกิดใหม่ เด็กเมื่อคลอดแล้ว จะมี “ครูกำเนิด” ซึ่งเป็นครูประจำตัว จะต้องจัดเครื่องสักการบูชาครูไว้บนหัวนอนของตนเองเสมอ ครูจะช่วยคุ้มครองให้มีความสุข ความเจริญ หากมีการผิดครูจะเป็นอันตราย นอกจากนี้อาจจัดให้มีการเซ่นผีบรรพบุรุษเมื่อมีแขกมาเยือนและพักอยู่ที่บ้าน เจ้าของบ้านจะต้องจัดเหล้า ขนม มาเซ่นไหว้และบอกกล่าวขออนุญาตผีบรรพบุรุษให้แขกเข้าพัก มีการบอกกล่าวว่าแขกเป็นใคร มาจากไหน มาทำอะไร เมื่อแขกมาถึง ก็มีการผูกข้อมือด้วยด้ายที่ย้อมสีเหลืองด้วยขมิ้นพร้อมให้ศีลให้พร

นอกจากวิญญาณของบรรพบุรุษแล้ว ชาวกูยยังเคารพนับถือวิญญาณทั่วไป ได้แก่ ภูติผีปีศาจ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เป็นต้น เมื่อจะประกอบการงานใดที่สำคัญเกี่ยวกับความสุขความเจริญจะต้องทำพิธีขจัดปัดเป่า ด้วยความกลัวว่าผีสางเทวดาจะให้โทษหรือมาขัดขวางการกระทำ เป็นที่น่าสังเกตว่าในพิธีกรรรมต่างๆเกือบทั้งหมดจะมีข้าวเป็นองค์ประกอบในการเซ่นสังเวยอยู่เสมอ เพราะข้าวเป็นอาหารหลักที่มีบุญคุณและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในการเพาะปลูกข้าวเกือบทุกขั้นตอนจะมีการจัดพิธีกรรม สวดสรรเสริญหรือแสดงความเคารพข้าว (นิคม วงเวียน ๒๕๓๓) ชาวกูยยังมีความเชื่อในเรื่องผีปอบ จะเห็นได้ในกรณีที่เด็กคลอดแล้ว ต้องเอารกไปฝังไว้ใต้ถุนบ้าน เอาหนามไปวางทับไม่เช่นนั้นผีปอบจะเอาไปกิน แม่เด็กและทารกก็จะตาย นอกจากนี้ชาวกูยยังเชื่อเรื่องขวัญ หรือภาษากูยเรียกว่า “ระเวี๋ยย” ซึ่งเป็นคำรวมเรียกทั้งขวัญและวิญญาณ เช่น เด็กทารก จะมีข้อห้ามไม่ให้อุ้มออกไปเดินผ่านเนินดินเผาผี (บลุฮ กระโมจ) ซึ่งเป็นเนินทุ่งนาใช้เผาศพคนทั่วไปแห่งหนึ่ง บางหมู่บ้านจะมี บลุฮ กระโมจ ๒ แห่ง สำหรับเผาศพคนทั่วไปแห่งหนึ่ง และอีกแห่งหนึ่งใช้เฉพาะเผาศพคนที่มีความสำคัญที่เป็นที่นับถือกันในหมู่บ้าน ถ้าอุ้มเด็ก ผ่านเนินดินนี้ต้องเรียกขวัญให้กลับมา เรียกว่า “มาเยอขวัญเอย” แล้วบอกชื่อเด็ก เดินไปพูดไป ถ้าไม่เรียกขวัญ ขวัญจะอยู่แถวนั้นไม่ตามเด็กไป เด็กก็จะไม่สบาย การทำพิธีสู่ขวัญมักจะพบในวาระที่สำคัญต่าง ๆ เช่น งานขึ้นบ้านใหม่ งานแต่งงาน งามศพ เมื่อทารกแรกเกิด การรักษาคนเจ็บเป็นต้น

ในหมู่บ้านจะมีแม่เฒ่าที่ทำหน้าที่ดูว่าความเจ็บไข้ หรือปัญหาที่มีเกิดจากอะไร โดยให้นำข้าวสาร ๑ ถ้วย และสตางค์ ๑ บาท วางบนข้าวแล้วนำไปวางไว้หน้ามาเฒ่า แม่เฒ่าจะเอาข้าวสารนั้นโปรยไปรอบข้างตัวพร้อมพูดคาถาพึมพำ แล้วเอาข้าวสารเล็กน้อยใส่ในฝ่ามือซ้าย แล้วจับฝากระปุกปูนแกว่งค่อยๆ เหนือข้าวสารนั้น แล้วทำนายสาเหตุของปัญหา ถ้าใช่สาเหตุที่ทำนาย ฝากระปุกปูนจะแกว่งแรงขึ้น ชาวกูย เรียกการทำนายนี้ว่า “โปล” นอกจากนี้ก็มีผู้เก่งทางไสยศาสตร์เรียกว่า “ถัม” บางห่งก็เรียกว่า “อาจารย์” ซึ่งเป็นผู้ชายที่มีคาถาอาคมสามารถดูให้ได้ว่าชาวบ้านไปถูกของอะไรมา และจะแก้ไขได้อย่างไร

การเจ็บไข้อาจทำให้บรรเทาได้โดยการจัดพิธีกรรมรักษาคนป่วย เพราะเชื่อว่าการเจ็บป่วยเกิดจากการกระทำของภูติผี จึงมีการทำพิธีอ้อนวอนให้ภูตผีพอใจ โดยจัดให้มีการรำผีมอ ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆรำผีฟ้าของกลุ่มที่พูดภาษาลาว การรำผีมอมีการสืบทอดรับช่วงกันมา ผู้ที่จะเป็นผีมอจะต้องผ่านพิธีไหว้ครูครอบครูเพราะจะทำให้ไม่มีใครกล้าประพฤติหรือเปลี่ยนแปลงพิธีกรรมที่เคยปฏิบัติกันสืบต่อกันมาเพราะกลัว “ผิดครู”

ที่อยู่อาศัย บ้านของชาวกูยมีลักษณะใต้ถุนสูงด้านหน้าจะสูงเอาไว้เลี้ยงช้างใต้ถุนใช้เป็นที่วางหูกทอผ้าวาง กระด้ง ไหม และวัสดุเครื่องใช้สานด้วยหวายหรือไม้ไผ่ ชาวกูย บางบ้านจะแบ่งส่วนหนึ่งที่ติดตัวบ้านเป็นยุ้งข้าว บางบ้าน สร้างแยกต่างหาก(โสฬสและคณะ ๒๕๓๘, น.๒๑)


วัฒนธรรม

[แก้]

ชนชาติพันธุ์นี้มักเรียกตัวเองว่า กูย หรือ กวย แปลว่า "คน" ใช้ภาษากูย หรือ "กวย" ซึ่งแตกต่างจากภาษาเขมรโดยสิ้นเชิง เป็นเอกลักษณ์ในการสื่อสารเฉพาะของชนเผ่า กวย พบเจอการใช้สำเนียงและคำควบกล้ำ"ร ล"ที่แตกต่างกันเปรียบเทียบความแตกต่างได้จากตัวอย่างเช่นภาษาไทยกลางจะแตกต่างจากภาษาไทยภาคใต้[ต้องการอ้างอิง] ชาวกูย หรือ กวย นับถือศาสนาพุทธผสมและเชื่อเรืองภูตผีปีศาจ เจ้าที่ ในชุมชุนจะมีศาลผี,เจ้าที่ประจำหมู่บ้าน ทุกหมู่บ้านเรียกว่า"ผละโจ๊ะ" จะมีการบวงสรวงเจ้าที่เรียกว่า "แซนผละโจ๊ะ" (เซ่นผีหรือเจ้าที่)

ชาวกูย นิยมเลี้ยงช้างซึ่งสืบทอดจากบรรพบุรุษ ชาวกูยจะออกไปจับช้างป่าด้วยการคล้องช้าง ด้วยเชือกปะกำ ซึ่งทำจากหนังควาย ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ เมื่อได้ช้างมาก็จะฝึกเอาไว้ใช้งาน พงศาวดารเมืองละแวกก็มีบันทึกไว้ว่าในพุทธศตวรรษที่ 20 กษัตริย์เขมร ได้ขอร้องให้แจ้งกุยแห่ง ตะบองขะมุม (ชุมชนกุยทางด้านใต้ของนครจำปาศักดิ์) ส่งกำลังไปช่วยปราบกบฏที่เมืองพระนคร ชาวกุยได้ร่วมขับไล่ ศัตรูจนบ้านเมืองเขมรเข้าสู่ภาวะปกติสุข หลักฐานนี้แสดงว่า ขณะที่ชนชาติไทยหรือสยามกำลังทำสงครามขับเคี่ยวกับขอมเพื่อสถาปนานครรัฐสุโขทัยขึ้นมานั้นชาวกุยได้เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ณ บริเวณลุ่มน้ำโขงตอนล่าง และแถบอีสานใต้อย่างเป็นปึกแผ่นแล้ว[ต้องการอ้างอิง]

อ้างอิง

[แก้]
  1. 2006 Mahidol University Study, cited in Ethnologue
  2. 2019 Indigenous Peoples Organization, cited in [1]
  3. 2005 Lao Census, cited in Ethnologue
  4. ประชุมสุภาษิตเขมร คือ สุภาษิตโบราณ สุภาษิตสอนเด็ก สุภาษิตสอนบุตร รวม 3 เรื่อง (PDF). พระนคร: โสภณพิพรรฒนากร. 2467. p. 2.
  5. จิตร ภูมิศักดิ์. ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. พิมพ์ครั้งที่ 6. กรุงเทพฯ : ชนนิยม. 2556, หน้า 259