ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ไทยเชื้อสายเปอร์เซีย"
แอนเดอร์สัน (คุย | ส่วนร่วม) ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ล →ภาษา: แทนที่ {lang-??} ด้วย {langx|??} |
||
(ไม่แสดง 35 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 10 คน) | |||
บรรทัด 1: | บรรทัด 1: | ||
{{Infobox Ethnic group |
{{Infobox Ethnic group |
||
| group = ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย<br>มะหง่น |
| group = ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย<br><small>มะหง่น/มห่น/แขกเจ้าเซ็น</small> |
||
| image = Consort Samlee and daughters.jpg |
|||
| image = [[ไฟล์:Phra Nang Suvadhana.jpg|x100px]][[ไฟล์:พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา).jpg|x100px]][[ไฟล์:พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา) .jpg|x100px|ควง อภัยวงศ์]]<br />[[ไฟล์:Phetcharat Ratchasuda.jpg|x100px]][[ไฟล์:CHOUNG B2.JPG|x100px]][[ไฟล์:เจ้าจอมเอี่ยม.jpg|x100px]] |
|||
| caption = เจ้านายฝ่ายในที่สืบเชื้อสายจาก[[สกุลบุนนาค]] |
|||
| caption = (จากซ้ายไปขวา) [[พระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี]], [[พระยาจุฬาราชมนตรี (สิน อหะหมัดจุฬา)|สิน อหะหมัดจุฬา]], [[พระยาจุฬาราชมนตรี (สัน อหะหมัดจุฬา)|สัน อหะหมัดจุฬา]], [[สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี]], [[สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)|ช่วง บุนนาค]] และ[[เจ้าจอมเอี่ยม บุนนาค]] |
|||
| |
| total = {{เทาเล็ก|ไม่มีข้อมูล}} |
||
| popplace = {{flagicon|Thailand}} [[ประเทศไทย]] |
| popplace = {{flagicon|Thailand}} [[ประเทศไทย]] |
||
| langs = [[ภาษาไทย]] |
| langs = [[ภาษาไทย]] |
||
| rels = ส่วนใหญ่[[ศาสนาพุทธ]]นิกาย[[เถรวาท]]<br>ส่วนน้อย[[ศาสนาอิสลาม]]นิกาย[[ชีอะฮ์]]<br>อดีต [[ศาสนายูดาห์]]และ[[ศาสนาโซโรอัสเตอร์|โซโรอัสเตอร์]]<ref>สมลักษณ์ วงษ์รัตน์. ''อิหร่านใน...8 ทิวาราตรี''. นนทบุรี : อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์, หน้า 111-112</ref> |
|||
| rels = [[ศาสนาพุทธ]], [[ศาสนาอิสลาม]]นิกาย[[ชีอะห์]] |
|||
}} |
}} |
||
'''ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย''' หรือบางครั้งอาจถูกเรียกว่า '''เซียะ''',<ref name="ดำรง">{{cite book | author = ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา | title = ตำนานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า | url = https://www.finearts.go.th/storage/contents/2020/07/file/dsYlm5YEw8BVTHOP0pmvrGDPxmNiIGTamjEfe44P.pdf | publisher = กรมศิลปากร | location = พระนคร | year = 2512 | page = 1}}</ref> '''แขกมะหง่น''',<ref name="สุดา"/> '''แขกมะหง่อน''', '''แขกมห่น''', '''แขกมะห่น''' (ตรงกับคำว่า ''[[จักรวรรดิโมกุล|โมกุล]]'') หรือ '''แขกเจ้าเซ็น''', '''แขกกุฎีเจ้าเซ็น'''<ref name="ดำรง"/> (''[[เจ้าเซ็น|มุสลิมชีอะห์]]'') หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยตั้งแต่สมัย[[อาณาจักรอยุธยา]]เป็นอย่างน้อย บรรพชนของพวกเขาสมรสกับหญิงพื้นเมืองในอินเดียลงมา กลายเป็นชาติพันธุ์ลูกผสมซึ่งชาวตะวันตกในยุคนั้นเรียกว่า '''มัวร์''' ก่อนอพยพมาตั้งรกรากในดินแดนไทย<ref>{{cite book | author = วรพจน์ วิเศษศิริ และลำพอง กลมกูล | title = มุสลิมชีอะห์จากอิหร่านกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มุสลิมในประเทศไทย | url = http://ojs.mcu.ac.th/index.php/BAS/article/viewFile/6677/4351 | publisher = วารสารพุทธอาเซียนศึกษา (4:1)| location = | year = มกราคม–มิถุนายน 2562 | page =20}}</ref><ref>{{cite web |url= http://siamportuguesestudy.blogspot.com/2011/01/blog-post.html |title= แขกเทศ : ชาวโปรตุเกส หรือ แขกมุสลิม? |author= พิทยะ ศรีวัฒนสาร |date= 10 มกราคม 2554 |work= สยาม-โปรตุเกสศึกษา |publisher=|accessdate= 25 พฤษภาคม 2563}}</ref> นับเป็นประชาคมที่มีความสำคัญชุมชนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา เบื้องต้นเข้ามาประกอบกิจเป็นพ่อค้า ภายหลังเข้ารับราชการเป็นขุนนางระดับสูง ดำรงตำแหน่งเป็น [[จุฬาราชมนตรี|เจ้ากรมท่าขวา]] อัครมหาเสนาบดี เจ้าเมือง สมุหกลาโหม หรือ[[ขันที]]<ref>{{cite book | author = วรพจน์ วิเศษศิริ และลำพอง กลมกูล | title = มุสลิมชีอะห์จากอิหร่านกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มุสลิมในประเทศไทย | url = http://ojs.mcu.ac.th/index.php/BAS/article/viewFile/6677/4351 | publisher = วารสารพุทธอาเซียนศึกษา (4:1)| location = | year = มกราคม–มิถุนายน 2562 | page = 18}}</ref> หลัง[[การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง]] ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในฝั่ง[[เขตธนบุรี|ธนบุรี]]เป็นสำคัญ มีมัสยิดสำคัญประจำชุมชนคือ [[มัสยิดกุฎีหลวง]] [[กุฎีเจริญพาศน์]] [[มัสยิดดิลฟัลลาห์]] และ[[มัสยิดผดุงธรรมอิสลาม]]<ref>{{cite book | author = วรพจน์ วิเศษศิริ และลำพอง กลมกูล | title = มุสลิมชีอะห์จากอิหร่านกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มุสลิมในประเทศไทย | url = http://ojs.mcu.ac.th/index.php/BAS/article/viewFile/6677/4351 | publisher = วารสารพุทธอาเซียนศึกษา (4:1)| location = | year = มกราคม–มิถุนายน 2562 | page =19}}</ref> |
|||
'''ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย''' หรือบางครั้งอาจถูกเรียกว่า '''แขกมะหง่น'''<ref name="สุดา"/>, '''แขกมะหง่อน''', '''แขกมห่น''', '''แขกมะห่น''' หรือ'''แขกเจ้าเซ็น''' หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย ในปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่นับถือ[[ศาสนาพุทธ]] และ[[ศาสนาอิสลาม]] โดยกลุ่มที่นับถือ[[ศาสนาอิสลาม]][[ชีอะห์]]ตั้งถิ่นฐานแถบฝั่ง[[ธนบุรี]], [[เขตยานนาวา]], [[เขตบึงกุ่ม]], [[เขตสะพานสูง]], [[เขตมีนบุรี]] และบางส่วนของ[[จังหวัดฉะเชิงเทรา]]เท่านั้น<ref name="ธนบุรี">''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 153</ref> ส่วนกลุ่มที่หันไปนับถือศาสนาพุทธ คือ [[สกุลบุนนาค]] เป็นต้น |
|||
ปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่นับถือ[[ศาสนาพุทธ]]และ[[ศาสนาอิสลาม]] โดยกลุ่มที่นับถือ[[ศาสนาอิสลาม]]นิกาย[[ชีอะฮ์]]ตั้งถิ่นฐานแถบฝั่ง[[เขตธนบุรี]], [[เขตยานนาวา]], [[เขตบึงกุ่ม]], [[เขตสะพานสูง]], [[เขตมีนบุรี]] และบางส่วนของ[[จังหวัดฉะเชิงเทรา]]เท่านั้น เช่น สกุลอหะหมัดจุฬา อากาหยี่ และนนทเกษ<ref name="ธนบุรี">''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 153</ref> ส่วนกลุ่มที่หันไปนับถือ[[ศาสนาพุทธ]]นิกาย[[เถรวาท]] คือ [[สกุลบุนนาค]] บุรานนท์ ศุภมิตร และศรีเพ็ญ แม้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย แต่พวกเขายังกุมอำนาจและส่งต่อการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมได้ต่อเนื่องยาวนาน<ref>{{cite book | author = วรพจน์ วิเศษศิริ และลำพอง กลมกูล | title = มุสลิมชีอะห์จากอิหร่านกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มุสลิมในประเทศไทย | url = http://ojs.mcu.ac.th/index.php/BAS/article/viewFile/6677/4351 | publisher = วารสารพุทธอาเซียนศึกษา (4:1)| location = | year = มกราคม–มิถุนายน 2562 | page = 25}}</ref> |
|||
⚫ | |||
⚫ | ชาวเปอร์เซียที่ |
||
⚫ | |||
⚫ | นอกจากผู้สืบเชื้อสายจากเฉกอะหมัดแล้ว ก็ยังมีคนเชื้อสายเปอร์เซียคน |
||
[[ไฟล์:เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) - panoramio (5).jpg|thumb|left|สุสานของเฉกอะหมัด ภายใน[[มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา]]]] |
|||
⚫ | ชาวเปอร์เซียกลุ่มแรกได้เข้าไปตั้งชุมชนในเมือง[[มะริด]]และ[[ตะนาวศรี]]ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16<ref>สุเทพ สุนทรเภสัช, หน้า 113</ref> ก่อนขยับขยายไปตั้งชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นใน[[กรุงศรีอยุธยา]]ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพราะที่นั่นเป็นเมืองท่าที่เชื่อมการค้าระหว่าง[[ที่ราบสูงเดกกัน|เดกกัน]]กับ[[เอเชียตะวันออก]]<ref>{{cite book | author = Christoph Marcinkowsk | title = Persians and Shi‘ites in Thailand: From the Ayutthaya Period to the Present | url = https://www.iseas.edu.sg/images/pdf/nscwps15.pdf | publisher = Nalanda-Sriwijaya Centre Working Paper Series No. 15 | location = Pasir Panjang, Singapore | year = กุมภาพันธ์ 2557 | page = 5 | access-date = 2022-04-16 | archive-date = 2023-12-15 | archive-url = https://web.archive.org/web/20231215224411/https://www.iseas.edu.sg/images/pdf/nscwps15.pdf | url-status = dead }}</ref> นอกจากการเป็นพ่อค้าสำเภาแล้ว ชาวเปอร์เซียในกรุงศรีอยุธยายังประกอบอาชีพอย่างหลากหลาย เช่น สถาปนิก, ช่างฝีมือ, นักปราชญ์ และกวี<ref name="สุเทพ">สุเทพ สุนทรเภสัช, หน้า 114</ref> ซึ่งขณะนั้นยังเป็นหัวเมืองฝั่ง[[มหาสมุทรอินเดีย]]ใต้อิทธิพลของกรุงศรีอยุธยา โดยชาวเปอร์เซียที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ[[เฉกอะหมัด]] เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2086 ที่ตำบลปาอีเนะชาฮาร เมืองกุม<ref>สุดารา สุจฉายา. หน้า 138</ref> ได้เข้ามาในสยามในฐานะพ่อค้าเมื่อครั้งรัชสมัย[[พระเจ้าทรงธรรม]] ซึ่งได้ดำเนินธุรกิจจนมีฐานะมั่นคงและได้เข้ารับราชการในตำแหน่งกรมท่าขวาดูแลกิจการการค้ากับพ่อค้าชาวมุสลิม จนได้รับการแต่งตั้งเป็นพระยาบวรราชนายก ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชสมัย[[พระเจ้าปราสาททอง]] และลูกหลานของเขาก็มีบทบาทในตำแหน่งกรมท่าขวาเรื่อยมา<ref name="ธนบุรี"/> จนกระทั่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ตำแหน่งดังกล่าวจึงตกเป็นฝ่ายซุนนีย์ เฉกอะหมัด เป็นบรรพบุรุษของสกุลบุนนาค อหะหมัดจุฬา อากาหยี่ และนนทเกษ เป็นต้น<ref name="ธนบุรี"/> |
||
⚫ | นอกจากผู้สืบเชื้อสายจากเฉกอะหมัดแล้ว ก็ยังมีคนเชื้อสายเปอร์เซียคนอื่น ๆ มีบทบาทในระดับสูงเช่นกัน โดยในรัชกาล[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] ก็มี อากามูฮัมหมัด อัครเสนาบดี, เจ้าพระยายมราช (สังข์) เจ้าเมืองนครราชสีมา และเจ้าพระยารามเดโช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ก็มีเชื้อสายเปอร์เซียเช่นกัน<ref name="ลอมพอก"/> |
||
⚫ | ในรัชกาล[[พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ]] มีลูกหลานของเฉกอะหมัดคือ [[พระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ)]] ที่เป็นข้าราชการใกล้ชิดในตำแหน่งจางวางกรมล้อมพระราชวัง ทุกครั้งเมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จไปไหนเขาก็จะตามเสด็จด้วย แต่ต่อมาพระยาเพ็ชรพิไชยไม่มีชื่อในหมายตามเสด็จเมื่อครั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปนมัสการ[[พระพุทธบาท]] พระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการ ''"พระยาเพ็ชรพิไชยเปนแขกเปนเหลื่อ ก็ให้สละเพศแขกเสีย มาเข้ารีตรับศีลทางไทยในพระพุทธศาสนา"''<ref name="บุนนาค"/> พระยาเพ็ชรพิไชยจึงสนองพระบรมราชโองการ และปฏิญาณเป็นชาวพุทธ จึงมีการแยกฝ่ายที่นับถือพุทธและอิสลามเกิดขึ้นตั้งแต่นั้น<ref name="บุนนาค">พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ) |
||
⚫ | ในรัชกาล[[พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ]] มีลูกหลานของเฉกอะหมัดคือ [[พระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ)]] ที่เป็นข้าราชการใกล้ชิดในตำแหน่งจางวางกรมล้อมพระราชวัง ทุกครั้งเมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จไปไหนเขาก็จะตามเสด็จด้วย แต่ต่อมาพระยาเพ็ชรพิไชยไม่มีชื่อในหมายตามเสด็จเมื่อครั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปนมัสการ[[พระพุทธบาท]] พระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการ ''"พระยาเพ็ชรพิไชยเปนแขกเปนเหลื่อ ก็ให้สละเพศแขกเสีย มาเข้ารีตรับศีลทางไทยในพระพุทธศาสนา"''<ref name="บุนนาค"/> พระยาเพ็ชรพิไชยจึงสนองพระบรมราชโองการ และปฏิญาณเป็นชาวพุทธ จึงมีการแยกฝ่ายที่นับถือพุทธและอิสลามเกิดขึ้นตั้งแต่นั้น<ref name="บุนนาค">พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ), หน้า 84</ref> |
||
⚫ | |||
⚫ | [[เฉกอะหมัด]]ได้เดินทางเข้ามาในสยามพร้อมด้วยน้องชายชื่อ มะหะหมัดสะอิด โดยเข้ามาตั้งภูมิลำเนาท้ายเกาะอยุธยาเรียกว่า |
||
⚫ | |||
⚫ | ชาวเปอร์เซียในอยุธยาสร้างบ้านเรือนเป็นตึกก่อปูนหลังคามุงกระเบื้อง โดยจะคับคั่งทางฝั่งคลองประตูจีนด้านทิศตะวันตก กำแพงเมืองด้านทิศใต้เกาะเมืองอยุธยาซึ่งอยู่ระหว่างประตูจีนกับประตูชัย เรียกว่าประตูเทพหมีซึ่งในแผนที่กรุงศรีอยุธยาเรียกว่าประตูเทพสมีซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นถิ่นที่อยู่ของทั้งชาวอาหรับและเปอร์เซีย ในหนังสือแผนที่กรุงศรีอยุธยาเรียกว่าถนนบ้านแขก และชุมชนบ้านแขกทางฝั่งตะวันตกของคลองประตูจีนมีถนนตัดผ่านกลาง ซึ่งเป็นชุมชน |
||
[[ไฟล์:Pearl of Asia (1892, p 279).jpg|thumb|ครอบครัวของ[[เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม บุนนาค)|เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี (ท้วม)]] ขุนนางจากสกุลบุนนาคใน[[อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์)|ยุครัตนโกสินทร์]]]] |
|||
⚫ | [[เฉกอะหมัด]]ได้เดินทางเข้ามาในสยามพร้อมด้วยน้องชายชื่อ มะหะหมัดสะอิด โดยเข้ามาตั้งภูมิลำเนาท้ายเกาะอยุธยาเรียกว่า[[ท่ากายี]] และละแวกที่แขกสองพี่น้องตั้งถิ่นฐานนั้น ชาวบ้านเรียกว่า บ้านแขก<ref>พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ), หน้า 29</ref> เฉกอะหมัดได้สมรสกับสตรีชาวไทยชื่อเชยมีบุตรด้วยกันสามคน ต่อมาเฉกอะหมัดได้สร้างกุฎี และขยายสุสาน ซึ่งปัจจุบันรากฐานของกุฎีดังกล่าวได้ถูกรื้อถอนเพื่อสร้างเป็น[[มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา]]<ref>พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ), หน้า 34</ref> |
||
⚫ | ชาวเปอร์เซียในอยุธยาสร้างบ้านเรือนเป็นตึกก่อปูนหลังคามุงกระเบื้อง โดยจะคับคั่งทางฝั่ง[[คลองประตูจีน]]ด้านทิศตะวันตก กำแพงเมืองด้านทิศใต้เกาะเมืองอยุธยาซึ่งอยู่ระหว่างประตูจีนกับประตูชัย เรียกว่า[[คลองประตูเทพหมี]] ซึ่งในแผนที่กรุงศรีอยุธยาเรียกว่าประตูเทพสมี ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นถิ่นที่อยู่ของทั้งชาวอาหรับและเปอร์เซีย ในหนังสือแผนที่กรุงศรีอยุธยาเรียกว่าถนนบ้านแขก และชุมชนบ้านแขกทางฝั่งตะวันตกของคลองประตูจีนมีถนนตัดผ่านกลาง ซึ่งเป็นชุมชนชีอะฮ์เสียส่วนใหญ่น่าที่จะเป็นชาวเปอร์เซีย<ref>[[น. ณ ปากน้ำ]]. "ขุนนางแขกสมัยกรุงศรีอยุธยา". ''วารสารเมืองโบราณ'' ปีที่ 17 1 มกราคม-มีนาคม 2534, หน้า 61-66</ref> |
||
เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยา ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียบางส่วนถูกกวาดต้อนพร้อมกับเชลยชาวไทยเชื้อสาย |
เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียบางส่วนถูกกวาดต้อนพร้อมกับเชลยชาวไทยเชื้อสายอื่น ๆ ไปยังประเทศพม่า<ref>พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ), หน้า 93</ref> ส่วนชาวเปอร์เซียที่ยังเหลืออยู่ได้เดินทางเข้าสู่กรุงธนบุรี โดยที่ตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ของชาวชีอะฮ์คือ บริเวณ[[คลองบางกอกใหญ่]]และ[[คลองบางกอกน้อย]]<ref name="สุเทพ"/> มีศาสนสถานสำคัญเช่น [[กุฎีเจริญพาศน์]] ซึ่งปัจจุบันยังเป็นสถานที่มีสมาชิกหนาแน่นกว่าที่อื่น ๆ<ref name="ธนบุรี"/> นอกจากนี้ยังมีชุมชนของชาวชีอะฮ์อีก เช่น กุฎีหลวง, กุฎีดิลฟัลลาห์ (กุฎีปลายนา) และสุเหร่าผดุงธรรม<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 154</ref> ในอดีตมีกุฎีที่บ้านบางหลวง [[ตำบลเชียงรากใหญ่]] [[อำเภอสามโคก]] [[จังหวัดปทุมธานี]] ปัจจุบันชาวชีอะฮ์ที่นั่นได้ย้ายตั้งถิ่นฐานที่บ้านทวาย [[เขตยานนาวา]] [[กรุงเทพมหานคร]]<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 110</ref> |
||
ส่วนชาวเปอร์เซียที่อพยพจากประเทศอิหร่านในสมัยหลังมานี้ ส่วนใหญ่อาศัยแถบ[[แยกนานา|ซอยนานา]] กรุงเทพมหานคร<ref>{{cite web |url= https://mgronline.com/uptodate/detail/9550000022057 |title= ตร.เฝ้าระวังโบสถ์ยิว ร้านอาหารอิสราเอล ซ.รามบุตรี |author=|date= 17 กุมภาพันธ์ 2555 |work= ผู้จัดการออนไลน์ |publisher= |accessdate= 18 พฤษภาคม 2563}}</ref> |
|||
ราวปี พ.ศ. 2548 มีการประมาณการว่ามีชาวมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครราว 600-800 คน<ref>สุเทพ สุนทรเภสัช, หน้า 120</ref> |
|||
==วัฒนธรรม== |
== วัฒนธรรม == |
||
ไทยและเปอร์เซียมีความสัมพันธ์กับไทยมากว่า 400 ปี หากแต่ว่ามิได้พบหลักฐานเอกสารการมาของชาวเปอร์เซียที่ชัดเจนก่อนหน้า แต่ก็ยังพบโบราณวัตถุจำนวนมากเช่น กษาปณ์ ดวงตรา ลูกปัด และประติมากรรมต่างๆ ที่ชาวเปอร์เซียได้ทิ้งไว้<ref name="สุดา">สุดารา สุจฉายา. หน้า 135</ref> ตลอดหลายร้อยปีชาวเปอร์เซียได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ภาษา สถาปัตยกรรม อาหารที่ตกทอดมาเนิ่นนานจนชาวไทยบางคนคิดว่าเป็นของไทยมาแต่ดั้งเดิม |
ไทยและเปอร์เซียมีความสัมพันธ์กับไทยมากว่า 400 ปี หากแต่ว่ามิได้พบหลักฐานเอกสารการมาของชาวเปอร์เซียที่ชัดเจนก่อนหน้า แต่ก็ยังพบโบราณวัตถุจำนวนมากเช่น กษาปณ์ ดวงตรา ลูกปัด และประติมากรรมต่างๆ ที่ชาวเปอร์เซียได้ทิ้งไว้<ref name="สุดา">สุดารา สุจฉายา. หน้า 135</ref> ตลอดหลายร้อยปีชาวเปอร์เซียได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ภาษา สถาปัตยกรรม อาหารที่ตกทอดมาเนิ่นนานจนชาวไทยบางคนคิดว่าเป็นของไทยมาแต่ดั้งเดิม |
||
===ภาษา=== |
=== ภาษา === |
||
[[ไฟล์:SiameseEmbassyToLouisXIV1686NicolasLarmessin.jpg|thumb|right|200px|คณะราชทูตสยามสวม[[ลอมพอก]] เจริญสัมพันธไมตรีกับ[[พระเจ้าหลุยส์ที่ 14]] แห่งฝรั่งเศส ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์]] |
[[ไฟล์:SiameseEmbassyToLouisXIV1686NicolasLarmessin.jpg|thumb|right|200px|คณะราชทูตสยามสวม[[ลอมพอก]] เจริญสัมพันธไมตรีกับ[[พระเจ้าหลุยส์ที่ 14]] แห่งฝรั่งเศส ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์]] |
||
ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย |
ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียมีอิทธิพลต่อชาวมุสลิมในกรุงศรีอยุธยามาก ในเอกสารของ[[เอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์]] แพทย์ชาวดัตช์ที่เข้าสู่กรุงศรีอยุธยาในยุคปลาย ระบุว่า[[ภาษาเปอร์เซีย]]เป็น '[[ภาษากลาง]]' ของชาวมุสลิมในสยาม<ref name="Marcinkowski9">{{cite book | author = Christoph Marcinkowski | title = Persians and Shi‘ites in Thailand: From the Ayutthaya Period to the Present | url = https://www.iseas.edu.sg/images/pdf/nscwps15.pdf | publisher = Nalanda-Sriwijaya Centre Working Paper Series No. 15 | location = Pasir Panjang, Singapore | year = กุมภาพันธ์ 2557 | page = 9 | access-date = 2022-04-16 | archive-date = 2023-12-15 | archive-url = https://web.archive.org/web/20231215224411/https://www.iseas.edu.sg/images/pdf/nscwps15.pdf | url-status = dead }}</ref> ทว่าภาษาของพวกเขาเริ่มสูญหายเพราะขาดการติดต่อกับอิหร่านและโลกชีอะฮ์ใน พ.ศ. 2265 เป็นต้นมา หลังราชวงศ์ซาฟาวิดสิ้นอำนาจ และกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย<ref name="Marcinkowski9"/> พวกเขาทิ้งมรดกทางภาษาไว้ เช่น คำว่า ปสาน ที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งในสมัยสุโขทัย ซึ่งนักวิชาการให้ความเห็นว่ามาจากคำว่า ''บอซัร'' ในภาษาเปอร์เซียที่มีความหมายว่า ตลาดห้องแถว ตลาดขายของแห้ง<ref name="สุดา"/> คำว่า[[กุหลาบ]] ที่ยืมมาจากคำว่า ''กุล้อบ'' ({{langx|fa|گل اب}}) ในภาษาเปอร์เซีย ที่มีความหมายเดิมว่า ''น้ำดอกไม้''<ref name="สุดา1">สุดารา สุจฉายา. หน้า 144</ref><ref>{{cite web |url= https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_6456 |title= “กุหลาบ” คำยืมจากภาษาเปอร์เซีย ที่ดั้งเดิมไม่ได้แปลว่า “กุหลาบ” (?) |author=|date= 14 กุมภาพันธ์ 2560 |work= ศิลปวัฒนธรรม |publisher=|accessdate= 5 กันยายน 2560}}</ref> และคำว่าคำว่า ''โมล์ค'' ที่แปลว่าไก่ แต่คนไทยมุสลิมกลับใช้เรียกเป็น[[ข้าวหมก]]<ref name="สุดา2">สุดารา สุจฉายา. หน้า 165</ref> คำว่า ภาษี มาจาก บัคซี ที่มีความหมายว่า "ของให้เปล่า ของกำนัล หรือรางวัล" และคำว่า สนม มาจากคำว่า ซะนานะฮ์<ref>{{Cite web |url=http://muslimchiangmai.net/index.php?topic=1180.0 |title=มุสลิมเชียงใหม่ดอตเน็ต - มุสลิมและชาวเปอร์เซียในสยามประเทศ |access-date=2011-06-12 |archive-date=2016-03-05 |archive-url=https://web.archive.org/web/20160305223137/http://muslimchiangmai.net/index.php?topic=1180.0 |url-status=dead }}</ref> เป็นต้น |
||
ปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียสูญเสียอัตลักษณ์สำคัญทางชาติพันธุ์ เพราะชุมชนต้องปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมพหุวัฒนธรรมของกรุงเทพมหานครโดยถูกกลืนไปกับระบบการศึกษาและการติดต่อกับชุมชนอื่น ๆ และใช้[[ภาษาไทย]]ในชีวิตประจำวัน<ref>สุเทพ สุนทรเภสัช, หน้า 120</ref> จากงานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2545 พบว่าชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเองได้น้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับชาวไทยมุสลิมกลุ่มอื่นในกรุงเทพมหานคร<ref>[http://www.researchgate.net/publication/27803486_ วราภรณ์ ติระ - คำเรียกญาติของชาวไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายต่างกันในกรุงเทพมหานคร]</ref> กระนั้นชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียในฝั่งธนบุรียังคงรักษา "ศัพท์เฉพาะ" สำหรับสื่อสารกับคนในท้องถิ่น เช่น โขบ บุ่นด่า ลั่นดี ซ่าเหรี่ย บ้ะหล่า เป้ระหาน เป็นต้น<ref>''พิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการดำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย'', หน้า 234</ref> |
|||
⚫ | |||
⚫ | แม้แต่เครื่องแต่งกายอย่าง |
||
⚫ | |||
[[ไฟล์:วัดบางขุนเทียนนอก เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร (6).jpg|thumb|left|200px|ภาพการแต่งกายของแขกเจ้าเซ็นที่[[วัดบางขุนเทียนนอก]]]] |
|||
⚫ | แม้แต่เครื่องแต่งกายอย่าง[[ลอมพอก]] ก็เป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมของเปอร์เซีย ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผ้าโพกหัวของชาวมุสลิมกับ[[ชฎา]]ของไทย โดยลอมพอกถือเป็นหมวกสำหรับขุนนางในรัชสมัย[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]] ในรัชกาลเดียวกันก็ได้ส่งราชทูตไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีในปี พ.ศ. 2229 ลอมพอกจึงเป็นที่สนใจของชาวฝรั่งเศสอย่างมาก<ref name="ลอมพอก">{{Cite web |url=http://muslimchiangmai.net/index.php?topic=1927.0;wap2 |title=“มุสลิม” ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช |access-date=2011-06-13 |archive-date=2016-03-05 |archive-url=https://web.archive.org/web/20160305121802/http://muslimchiangmai.net/index.php?topic=1927.0;wap2 |url-status=dead }}</ref> |
||
ขณะเดียวสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็โปรดฉลองพระองค์อย่างชาวเปอร์เซียเช่นกัน<ref name="ลอมพอก"/> ในหนังสือสำเภากษัตริย์สุลัยมานของอิบนิ มูฮัมหมัด อิบราฮิม ได้กล่าวถึงสมเด็จพระนารายณ์ ความว่า ''"เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไทยได้ทอดพระเนตรภาพพระราชวังคาข่าน รวมทั้งภาพวาดพระเจ้ากรุงอิหร่านก็ทรงสนพระทัย และเมื่อรับสั่งให้คณะราชทูตเข้าเฝ้าฯ มักเห็นพระนารายณ์ฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าอย่างอิหร่าน คือเสื้อคลุมยาว กางเกงขายาว เสื้อชั้นใน ถุงเท้ารองเท้า และเหน็บกริชเปอร์เซีย แต่พระองค์ไม่ได้คลุมผ้าบนพระเศียรดังเช่นแขกทั่วไป ด้วยเหตุที่ทรงหนัก"''<ref name="ลอมพอก"/> นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเสวยอาหารเปอร์เซียอีกด้วย<ref name="ลอมพอก"/> |
ขณะเดียวสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็โปรดฉลองพระองค์อย่างชาวเปอร์เซียเช่นกัน<ref name="ลอมพอก"/> ในหนังสือสำเภากษัตริย์สุลัยมานของอิบนิ มูฮัมหมัด อิบราฮิม ได้กล่าวถึงสมเด็จพระนารายณ์ ความว่า ''"เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไทยได้ทอดพระเนตรภาพพระราชวังคาข่าน รวมทั้งภาพวาดพระเจ้ากรุงอิหร่านก็ทรงสนพระทัย และเมื่อรับสั่งให้คณะราชทูตเข้าเฝ้าฯ มักเห็นพระนารายณ์ฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าอย่างอิหร่าน คือเสื้อคลุมยาว กางเกงขายาว เสื้อชั้นใน ถุงเท้ารองเท้า และเหน็บกริชเปอร์เซีย แต่พระองค์ไม่ได้คลุมผ้าบนพระเศียรดังเช่นแขกทั่วไป ด้วยเหตุที่ทรงหนัก"''<ref name="ลอมพอก"/> นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเสวยอาหารเปอร์เซียอีกด้วย<ref name="ลอมพอก"/> |
||
เดิมแขกเจ้าเซ็นมีอัตลักษณ์การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลายยาวกรอมข้อเท้า สวมกางเกงขายาว และใช้ผ้าพันศีรษะ ปัจจุบันเหลืออัตลักษณ์เพียงอย่างเดียวคือสวมหมวกฉาก หรือหมวกกลีบ ที่ใส่ในช่วงพิธีเจ้าเซ็นเท่านั้น<ref>''พิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการดำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย'', หน้า 81-85</ref> |
|||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
⚫ | |||
และ 40 วัน ตามลำดับ<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 102</ref> พิธีกรรมดังกล่าวทำเพื่อระลึกถึงฮุเซน บุตรของอะลี ตลอดจนญาติคนอื่นๆที่ถูกลอบสังหารอย่างเหี้ยมโหดที่เมืองกัรบะลาอ์ (ปัจจุบันอยู่ใน[[ประเทศอิรัก]]) ซึ่งเป็นที่มาของพิธีเจ้าเซ็น<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 100</ref> เหตุที่เรียกว่าเจ้าเซ็นนั้นมาจากทำนอง[[ภาษาเปอร์เซีย]] ที่กล่าวว่า ''"ยาอิมาม ยาฮุเซ็น ชาอฮะซัน ยาฮุเซ็น ยาเมาลา ยาชะฮีต ชาคะลีย ยาฮุเซน"'' มีความหมายว่า ''"โอ้ท่านผู้นำ โอ้ท่านฮะซัน โอ้ท่านฮุเซ็น โอ้นายผู้เสียสละตามแนวทางพระเจ้า"'' คนในอดีตคงได้ยินคำว่า ยาฮุเซ็น ที่มีคนขานหนักแน่นมากกว่า จึงถูกเรียกว่าแขกเจ้าเซ็น<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 106</ref> |
และ 40 วัน ตามลำดับ<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 102</ref> พิธีกรรมดังกล่าวทำเพื่อระลึกถึงฮุเซน บุตรของอะลี ตลอดจนญาติคนอื่นๆที่ถูกลอบสังหารอย่างเหี้ยมโหดที่เมืองกัรบะลาอ์ (ปัจจุบันอยู่ใน[[ประเทศอิรัก]]) ซึ่งเป็นที่มาของพิธีเจ้าเซ็น<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 100</ref> เหตุที่เรียกว่าเจ้าเซ็นนั้นมาจากทำนอง[[ภาษาเปอร์เซีย]] ที่กล่าวว่า ''"ยาอิมาม ยาฮุเซ็น ชาอฮะซัน ยาฮุเซ็น ยาเมาลา ยาชะฮีต ชาคะลีย ยาฮุเซน"'' มีความหมายว่า ''"โอ้ท่านผู้นำ โอ้ท่านฮะซัน โอ้ท่านฮุเซ็น โอ้นายผู้เสียสละตามแนวทางพระเจ้า"'' คนในอดีตคงได้ยินคำว่า ยาฮุเซ็น ที่มีคนขานหนักแน่นมากกว่า จึงถูกเรียกว่าแขกเจ้าเซ็น<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 106</ref> |
||
ช่วงรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]] รัชกาลที่ 2 ได้มีหมายรับสั่งให้นำพิธีกรรมดังกล่าวไปถวายให้ทอดพระเนตรในพระบรมมหาราชวังหน้าพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ติดต่อกันถึงสองปี (ในปี พ.ศ. 2358 และ พ.ศ. 2359) และมีพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จชมพิธีดังกล่าวอยู่เสมอ ครั้งหลังสุด [[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช]] |
ช่วงรัชสมัย[[พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย]] รัชกาลที่ 2 ได้มีหมายรับสั่งให้นำพิธีกรรมดังกล่าวไปถวายให้ทอดพระเนตรในพระบรมมหาราชวังหน้าพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ติดต่อกันถึงสองปี (ในปี พ.ศ. 2358 และ พ.ศ. 2359) และมีพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จชมพิธีดังกล่าวอยู่เสมอ ครั้งหลังสุด [[พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช]]เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วย[[สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ]], [[สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์]] และ[[สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา]] ทอดพระเนตร ณ [[กุฎีเจริญพาศน์]] เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2496<ref>ธเนศ ช่วงพิชิต, หน้า 45</ref> |
||
ในอดีตทุกคนต้องนุ่งดำ งดงานรื่นเริงและการกินเนื้อสัตว์ ทานอาหารเปเรส (อาหารเจ ที่ทำจากผัก) และผู้ชายต้องโกนหัวไว้ทุกข์ด้วย<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 103</ref> ในประเทศไทยเองยังมีการควั่นหัว โดยใช้มีดโกนกรีดลงกลางศีรษะ ซึ่งผู้กรีดต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เดิมใช้มีเหล็กแหนบรถไฟ แต่ปัจจุบันได้ใช้มีดเยอรมันตราตุ๊กตาคู่ ซึ่งการควั่นหัวเป็นการบนบาน (เหนียต) ตั้งจิตระลึกถึงฮุเซน และเชื่อกันว่ายิ่งควั่นแล้วเลือดออกมากเท่าใดก็ยิ่งแสดงถึงความศรัทธา<ref name="ธนบุรี2"/> แต่พิธีควั่นหัวดังกล่าวปรากฏใน[[ประเทศเลบานอน]] และ[[ซีเรีย]] ขณะที่ชาว |
ในอดีตทุกคนต้องนุ่งดำ งดงานรื่นเริงและการกินเนื้อสัตว์ ทานอาหารเปเรส (อาหารเจ ที่ทำจากผัก) และผู้ชายต้องโกนหัวไว้ทุกข์ด้วย<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 103</ref> ในประเทศไทยเองยังมีการควั่นหัว โดยใช้มีดโกนกรีดลงกลางศีรษะ ซึ่งผู้กรีดต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เดิมใช้มีเหล็กแหนบรถไฟ แต่ปัจจุบันได้ใช้มีดเยอรมันตราตุ๊กตาคู่ ซึ่งการควั่นหัวเป็นการบนบาน (เหนียต) ตั้งจิตระลึกถึงฮุเซน และเชื่อกันว่ายิ่งควั่นแล้วเลือดออกมากเท่าใดก็ยิ่งแสดงถึงความศรัทธา<ref name="ธนบุรี2"/> แต่พิธีควั่นหัวดังกล่าวปรากฏใน[[ประเทศเลบานอน]] และ[[ซีเรีย]] ขณะที่ชาวชีอะฮ์ใน[[ประเทศปากีสถาน]] [[อินเดีย]] และ[[พม่า]] มีเพียงการลุยไฟเท่านั้น<ref name="ธนบุรี2">''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 116</ref> ส่วนในอิหร่านเองก็เคยมีการทรมานดังกล่าว แต่ภายหลังการปฏิวัติอิสลาม [[อยาตุลเลาะห์ โคมัยนี]]ให้ยกเลิกพิธีกรรมดังกล่าว<ref>ธเนศ ช่วงพิชิต, หน้า 35</ref> |
||
===สถาปัตยกรรม=== |
=== สถาปัตยกรรม === |
||
[[ไฟล์: |
[[ไฟล์:Lopbprnivet0306a.jpg|thumb|right|200px|โค้งซุ้มประตูพระนารายณ์ราชนิเวศน์ซึ่งโค้งยอดแหลมที่เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากเปอร์เซีย]] |
||
เปอร์เซียในยุค[[ราชวงศ์ซาฟาวิยะห์]]เป็นยุคที่รุ่งเรืองทางด้านศิลปกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานสถาปัตยกรรม ในรัชสมัย[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]]ได้มีการส่งคณะทูตไปยังราชสำนักเปอร์เซียสมัยชาห์สุลัยมานแห่งราชวงศ์ซาฟาวิยะห์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อกันระหว่างสยามกับเปอร์เซีย<ref name="สุดา3">สุดารา สุจฉายา. หน้า 167</ref> ในยุคนี้ไทยจึงมีการรับสถาปัตยกรรมของเปอร์เซียเข้ามา |
เปอร์เซียในยุค[[ราชวงศ์ซาฟาวิยะห์]]เป็นยุคที่รุ่งเรืองทางด้านศิลปกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานสถาปัตยกรรม ในรัชสมัย[[สมเด็จพระนารายณ์มหาราช]]ได้มีการส่งคณะทูตไปยังราชสำนักเปอร์เซียสมัยชาห์สุลัยมานแห่งราชวงศ์ซาฟาวิยะห์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อกันระหว่างสยามกับเปอร์เซีย<ref name="สุดา3">สุดารา สุจฉายา. หน้า 167</ref> ในยุคนี้ไทยจึงมีการรับสถาปัตยกรรมของเปอร์เซียเข้ามา |
||
ในเรื่องราวดังกล่าวศาสตราจารย์พิทยา บุนนาค ผู้ศึกษาอิทธิพลศิลปกรรมเปอร์เซียในสถาปัตยกรรมอยุธยา พบว่าโค้งยอดแหลมในอยุธยาเป็นโค้งแบบอิสลามไม่ใช่โค้งแบบกอธิค คือมีการโค้งด้วยการก่ออิฐให้รับน้ำหนักไปข้างๆ และลงสู่ผนัง และมีลักษณะพิเศษคือเป็นโค้งยอดแหลมแบบตวัดนิดหน่อย ซึ่งพบได้ใน[[อินเดีย]] [[ปากีสถาน]] และ[[บังกลาเทศ]] แต่ไม่พบในการก่อสร้างลักษณะนี้ในอิหร่าน จึงมีการสันนิษฐานว่าโค้งลักษณะดังกล่าวคงถูกพัฒนาโดยชาวเปอร์เซียในอินเดียก่อนเข้ามาในสยาม<ref name="สุดา3"/> |
ในเรื่องราวดังกล่าวศาสตราจารย์พิทยา บุนนาค ผู้ศึกษาอิทธิพลศิลปกรรมเปอร์เซียในสถาปัตยกรรมอยุธยา พบว่าโค้งยอดแหลมในอยุธยาเป็นโค้งแบบอิสลามไม่ใช่โค้งแบบกอธิค คือมีการโค้งด้วยการก่ออิฐให้รับน้ำหนักไปข้างๆ และลงสู่ผนัง และมีลักษณะพิเศษคือเป็นโค้งยอดแหลมแบบตวัดนิดหน่อย ซึ่งพบได้ใน[[อินเดีย]] [[ปากีสถาน]] และ[[บังกลาเทศ]] แต่ไม่พบในการก่อสร้างลักษณะนี้ในอิหร่าน จึงมีการสันนิษฐานว่าโค้งลักษณะดังกล่าวคงถูกพัฒนาโดยชาวเปอร์เซียในอินเดียก่อนเข้ามาในสยาม<ref name="สุดา3"/> |
||
===อาหาร=== |
=== อาหาร === |
||
อาหารของชาวเปอร์เซียได้เป็นมรดกตกมาถึงยุคปัจจุบันแม้ว่าจะเป็นอาหารแบบเดียวกับมุสลิมกลุ่มอื่นไม่ว่าฮินดูหรือมุสลิม หริอ ชาวจาม อินเดีย ยะวา และมลายู ซึ่งหากินได้ทั่วไปจนเข้าใจว่าเป็นอาหารดั้งเดิมของไทย แต่อาหารเปอร์เซียในไทยนั้นจะมีรสชาติที่แตกต่างจากอิหร่าน ได้แก่ [[กะบาบ]] ในประเทศไทยเองก็มีเช่นกัน แต่ทำเฉพาะในงานบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย (บุญสี่สิบวัน) ถือเป็นอาหารพิเศษที่ทำไม่มากชิ้น รสชาติของกะบาบไทยจะอมหวานนิดๆ อาจเนื่องมาจากความมันของกะทิ<ref>สุดารา สุจฉายา. หน้า 163</ref> [[แกงกุรหม่า]]ของไทยก็มีความแตกต่างจากแกงกุรหม่าของอิหร่านเช่นกัน เนื่องจากแกงกุรหม่าไทยมีกลิ่นเครื่องเทศมาก ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากอาหารอินเดียหรืออาจมาจากการผสมผสาน<ref>สุดารา สุจฉายา. หน้า 164</ref> ฮะยีส่า หรือข้าวอาชูรอ ที่ทำกันทั้งนิกายซุน |
อาหารของชาวเปอร์เซียได้เป็นมรดกตกมาถึงยุคปัจจุบันแม้ว่าจะเป็นอาหารแบบเดียวกับมุสลิมกลุ่มอื่นไม่ว่าฮินดูหรือมุสลิม หริอ ชาวจาม อินเดีย ยะวา และมลายู ซึ่งหากินได้ทั่วไปจนเข้าใจว่าเป็นอาหารดั้งเดิมของไทย แต่อาหารเปอร์เซียในไทยนั้นจะมีรสชาติที่แตกต่างจากอิหร่าน ได้แก่ [[กะบาบ]] ในประเทศไทยเองก็มีเช่นกัน แต่ทำเฉพาะในงานบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย (บุญสี่สิบวัน) ถือเป็นอาหารพิเศษที่ทำไม่มากชิ้น รสชาติของกะบาบไทยจะอมหวานนิดๆ อาจเนื่องมาจากความมันของกะทิ<ref>สุดารา สุจฉายา. หน้า 163</ref> [[แกงกุรหม่า]]ของไทยก็มีความแตกต่างจากแกงกุรหม่าของอิหร่านเช่นกัน เนื่องจากแกงกุรหม่าไทยมีกลิ่นเครื่องเทศมาก ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากอาหารอินเดียหรืออาจมาจากการผสมผสาน<ref>สุดารา สุจฉายา. หน้า 164</ref> ฮะยีส่า หรือข้าวอาชูรอ ที่ทำกันทั้งนิกายซุนนีย์และชีอะฮ์ในวันที่ 10 ของเดือนมุฮัรรอม (มะหะหร่ำ) ที่กุฎีเจริญพาศน์นั้น ฮะยีส่ามีชื่อเสียงมากที่สุดจนกล่าวกันว่า "ข้าวฮะยีส่า สามกุฎีสี่สุเหร่า สู้ที่นี่ไม่ได้"<ref>''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี'', หน้า 114</ref> |
||
นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย เช่น [[ข้าวหมก]], ข้าวเปียกนม, ข้าวแขก, [[อาลัว]], [[มัศกอด]] และ[[ขนมไส้ไก่]] เป็นต้น<ref>สุดารา สุจฉายา. หน้า 166-167</ref> |
นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย เช่น [[ข้าวหมก]], ข้าวเปียกนม, ข้าวแขก, [[อาลัว]], [[มัศกอด]] และ[[ขนมไส้ไก่]] เป็นต้น<ref>สุดารา สุจฉายา. หน้า 166-167</ref> |
||
==ดูเพิ่ม== |
== ดูเพิ่ม == |
||
* [[เฉกอะหมัด]] |
* [[เฉกอะหมัด]] |
||
* [[สกุลบุนนาค]] |
* [[สกุลบุนนาค]] |
||
* [[สุลต่านสุลัยมาน]] |
* [[สุลต่านสุลัยมาน]] |
||
== เชิงอรรถ == |
|||
; อ้างอิง |
|||
{{รายการอ้างอิง|2}} |
{{รายการอ้างอิง|2}} |
||
⚫ | |||
* {{cite book | author = ธีรนันท์ ช่วงพิชิต| title = พิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการดำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย | url = http://www.thapra.lib.su.ac.th/objects/thesis/fulltext/thapra/Teeranun_Chuangpichit/Fulltext.pdf | publisher = ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร | location = | year = 2551 | page =}} |
|||
⚫ | |||
*สุดารา สุจฉายา. "ประวัติศาสตร์เก็บตกที่อิหร่าน ย้อนรอยสายสัมพันธ์ไทย-อิหร่าน". ''กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม''. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550, หน้า 134-169 |
* สุดารา สุจฉายา. "ประวัติศาสตร์เก็บตกที่อิหร่าน ย้อนรอยสายสัมพันธ์ไทย-อิหร่าน". ''กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม''. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550, หน้า 134-169 |
||
*สุดารา สุจฉายา (บรรณาธิการ). ''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี''. กรุงเทพฯ:กรุงเทพ, 2542, ISBN 974-8211-87-8 |
* สุดารา สุจฉายา (บรรณาธิการ). ''"นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี''. กรุงเทพฯ : กรุงเทพ, 2542, ISBN 974-8211-87-8 |
||
*ธเนศ ช่วงพิชิต. "วิถีความเชื่อ". ''กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม''. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550, หน้า 28-47 |
* ธเนศ ช่วงพิชิต. "วิถีความเชื่อ". ''กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม''. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550, หน้า 28-47 |
||
* พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ). ''เล่าเรื่องเฉกอะหมัดต้นสกุลบุนนาค จากเอกสารพิมพ์ดีด ๒๔๘๒''. กรุงเทพฯ : บันทึกสยาม, หน้า 84 |
|||
* สุเทพ สุนทรเภสัช. ''ชาติพันธุ์สัมพันธ์ : แนวคิดพื้นฐานทางมานุษยวิทยาในการศึกษาอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ ประชาชาติ และการจัดองค์กรความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์''. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2548. ISBN 974-7383-89-6 |
|||
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
== แหล่งข้อมูลอื่น == |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 00:45, 8 พฤศจิกายน 2567
เจ้านายฝ่ายในที่สืบเชื้อสายจากสกุลบุนนาค | |
ประชากรทั้งหมด | |
---|---|
ไม่มีข้อมูล | |
ภูมิภาคที่มีประชากรอย่างมีนัยสำคัญ | |
ประเทศไทย | |
ภาษา | |
ภาษาไทย | |
ศาสนา | |
ส่วนใหญ่ศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ส่วนน้อยศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ อดีต ศาสนายูดาห์และโซโรอัสเตอร์[1] |
ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซีย หรือบางครั้งอาจถูกเรียกว่า เซียะ,[2] แขกมะหง่น,[3] แขกมะหง่อน, แขกมห่น, แขกมะห่น (ตรงกับคำว่า โมกุล) หรือ แขกเจ้าเซ็น, แขกกุฎีเจ้าเซ็น[2] (มุสลิมชีอะห์) หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งในประเทศไทย อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอาณาจักรอยุธยาเป็นอย่างน้อย บรรพชนของพวกเขาสมรสกับหญิงพื้นเมืองในอินเดียลงมา กลายเป็นชาติพันธุ์ลูกผสมซึ่งชาวตะวันตกในยุคนั้นเรียกว่า มัวร์ ก่อนอพยพมาตั้งรกรากในดินแดนไทย[4][5] นับเป็นประชาคมที่มีความสำคัญชุมชนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา เบื้องต้นเข้ามาประกอบกิจเป็นพ่อค้า ภายหลังเข้ารับราชการเป็นขุนนางระดับสูง ดำรงตำแหน่งเป็น เจ้ากรมท่าขวา อัครมหาเสนาบดี เจ้าเมือง สมุหกลาโหม หรือขันที[6] หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียได้อพยพมาตั้งถิ่นฐานในฝั่งธนบุรีเป็นสำคัญ มีมัสยิดสำคัญประจำชุมชนคือ มัสยิดกุฎีหลวง กุฎีเจริญพาศน์ มัสยิดดิลฟัลลาห์ และมัสยิดผดุงธรรมอิสลาม[7]
ปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่นับถือศาสนาพุทธและศาสนาอิสลาม โดยกลุ่มที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายชีอะฮ์ตั้งถิ่นฐานแถบฝั่งเขตธนบุรี, เขตยานนาวา, เขตบึงกุ่ม, เขตสะพานสูง, เขตมีนบุรี และบางส่วนของจังหวัดฉะเชิงเทราเท่านั้น เช่น สกุลอหะหมัดจุฬา อากาหยี่ และนนทเกษ[8] ส่วนกลุ่มที่หันไปนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท คือ สกุลบุนนาค บุรานนท์ ศุภมิตร และศรีเพ็ญ แม้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของคนไทย แต่พวกเขายังกุมอำนาจและส่งต่อการพัฒนาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมได้ต่อเนื่องยาวนาน[9]
ประวัติ
[แก้]ชาวเปอร์เซียกลุ่มแรกได้เข้าไปตั้งชุมชนในเมืองมะริดและตะนาวศรีตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16[10] ก่อนขยับขยายไปตั้งชุมชนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในกรุงศรีอยุธยาในคริสต์ศตวรรษที่ 17 เพราะที่นั่นเป็นเมืองท่าที่เชื่อมการค้าระหว่างเดกกันกับเอเชียตะวันออก[11] นอกจากการเป็นพ่อค้าสำเภาแล้ว ชาวเปอร์เซียในกรุงศรีอยุธยายังประกอบอาชีพอย่างหลากหลาย เช่น สถาปนิก, ช่างฝีมือ, นักปราชญ์ และกวี[12] ซึ่งขณะนั้นยังเป็นหัวเมืองฝั่งมหาสมุทรอินเดียใต้อิทธิพลของกรุงศรีอยุธยา โดยชาวเปอร์เซียที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเฉกอะหมัด เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2086 ที่ตำบลปาอีเนะชาฮาร เมืองกุม[13] ได้เข้ามาในสยามในฐานะพ่อค้าเมื่อครั้งรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งได้ดำเนินธุรกิจจนมีฐานะมั่นคงและได้เข้ารับราชการในตำแหน่งกรมท่าขวาดูแลกิจการการค้ากับพ่อค้าชาวมุสลิม จนได้รับการแต่งตั้งเป็นพระยาบวรราชนายก ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง และลูกหลานของเขาก็มีบทบาทในตำแหน่งกรมท่าขวาเรื่อยมา[8] จนกระทั่งเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ตำแหน่งดังกล่าวจึงตกเป็นฝ่ายซุนนีย์ เฉกอะหมัด เป็นบรรพบุรุษของสกุลบุนนาค อหะหมัดจุฬา อากาหยี่ และนนทเกษ เป็นต้น[8]
นอกจากผู้สืบเชื้อสายจากเฉกอะหมัดแล้ว ก็ยังมีคนเชื้อสายเปอร์เซียคนอื่น ๆ มีบทบาทในระดับสูงเช่นกัน โดยในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ก็มี อากามูฮัมหมัด อัครเสนาบดี, เจ้าพระยายมราช (สังข์) เจ้าเมืองนครราชสีมา และเจ้าพระยารามเดโช เจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ก็มีเชื้อสายเปอร์เซียเช่นกัน[14]
ในรัชกาลพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีลูกหลานของเฉกอะหมัดคือ พระยาเพ็ชรพิไชย (ใจ) ที่เป็นข้าราชการใกล้ชิดในตำแหน่งจางวางกรมล้อมพระราชวัง ทุกครั้งเมื่อพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จไปไหนเขาก็จะตามเสด็จด้วย แต่ต่อมาพระยาเพ็ชรพิไชยไม่มีชื่อในหมายตามเสด็จเมื่อครั้งพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศไปนมัสการพระพุทธบาท พระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระบรมราชโองการ "พระยาเพ็ชรพิไชยเปนแขกเปนเหลื่อ ก็ให้สละเพศแขกเสีย มาเข้ารีตรับศีลทางไทยในพระพุทธศาสนา"[15] พระยาเพ็ชรพิไชยจึงสนองพระบรมราชโองการ และปฏิญาณเป็นชาวพุทธ จึงมีการแยกฝ่ายที่นับถือพุทธและอิสลามเกิดขึ้นตั้งแต่นั้น[15]
การตั้งถิ่นฐาน
[แก้]เฉกอะหมัดได้เดินทางเข้ามาในสยามพร้อมด้วยน้องชายชื่อ มะหะหมัดสะอิด โดยเข้ามาตั้งภูมิลำเนาท้ายเกาะอยุธยาเรียกว่าท่ากายี และละแวกที่แขกสองพี่น้องตั้งถิ่นฐานนั้น ชาวบ้านเรียกว่า บ้านแขก[16] เฉกอะหมัดได้สมรสกับสตรีชาวไทยชื่อเชยมีบุตรด้วยกันสามคน ต่อมาเฉกอะหมัดได้สร้างกุฎี และขยายสุสาน ซึ่งปัจจุบันรากฐานของกุฎีดังกล่าวได้ถูกรื้อถอนเพื่อสร้างเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา[17]
ชาวเปอร์เซียในอยุธยาสร้างบ้านเรือนเป็นตึกก่อปูนหลังคามุงกระเบื้อง โดยจะคับคั่งทางฝั่งคลองประตูจีนด้านทิศตะวันตก กำแพงเมืองด้านทิศใต้เกาะเมืองอยุธยาซึ่งอยู่ระหว่างประตูจีนกับประตูชัย เรียกว่าคลองประตูเทพหมี ซึ่งในแผนที่กรุงศรีอยุธยาเรียกว่าประตูเทพสมี ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นถิ่นที่อยู่ของทั้งชาวอาหรับและเปอร์เซีย ในหนังสือแผนที่กรุงศรีอยุธยาเรียกว่าถนนบ้านแขก และชุมชนบ้านแขกทางฝั่งตะวันตกของคลองประตูจีนมีถนนตัดผ่านกลาง ซึ่งเป็นชุมชนชีอะฮ์เสียส่วนใหญ่น่าที่จะเป็นชาวเปอร์เซีย[18]
เมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียบางส่วนถูกกวาดต้อนพร้อมกับเชลยชาวไทยเชื้อสายอื่น ๆ ไปยังประเทศพม่า[19] ส่วนชาวเปอร์เซียที่ยังเหลืออยู่ได้เดินทางเข้าสู่กรุงธนบุรี โดยที่ตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ของชาวชีอะฮ์คือ บริเวณคลองบางกอกใหญ่และคลองบางกอกน้อย[12] มีศาสนสถานสำคัญเช่น กุฎีเจริญพาศน์ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นสถานที่มีสมาชิกหนาแน่นกว่าที่อื่น ๆ[8] นอกจากนี้ยังมีชุมชนของชาวชีอะฮ์อีก เช่น กุฎีหลวง, กุฎีดิลฟัลลาห์ (กุฎีปลายนา) และสุเหร่าผดุงธรรม[20] ในอดีตมีกุฎีที่บ้านบางหลวง ตำบลเชียงรากใหญ่ อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ปัจจุบันชาวชีอะฮ์ที่นั่นได้ย้ายตั้งถิ่นฐานที่บ้านทวาย เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร[21]
ส่วนชาวเปอร์เซียที่อพยพจากประเทศอิหร่านในสมัยหลังมานี้ ส่วนใหญ่อาศัยแถบซอยนานา กรุงเทพมหานคร[22]
ราวปี พ.ศ. 2548 มีการประมาณการว่ามีชาวมุสลิมเชื้อสายเปอร์เซียอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครราว 600-800 คน[23]
วัฒนธรรม
[แก้]ไทยและเปอร์เซียมีความสัมพันธ์กับไทยมากว่า 400 ปี หากแต่ว่ามิได้พบหลักฐานเอกสารการมาของชาวเปอร์เซียที่ชัดเจนก่อนหน้า แต่ก็ยังพบโบราณวัตถุจำนวนมากเช่น กษาปณ์ ดวงตรา ลูกปัด และประติมากรรมต่างๆ ที่ชาวเปอร์เซียได้ทิ้งไว้[3] ตลอดหลายร้อยปีชาวเปอร์เซียได้ทิ้งร่องรอยทางวัฒนธรรม ภาษา สถาปัตยกรรม อาหารที่ตกทอดมาเนิ่นนานจนชาวไทยบางคนคิดว่าเป็นของไทยมาแต่ดั้งเดิม
ภาษา
[แก้]ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียมีอิทธิพลต่อชาวมุสลิมในกรุงศรีอยุธยามาก ในเอกสารของเอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ แพทย์ชาวดัตช์ที่เข้าสู่กรุงศรีอยุธยาในยุคปลาย ระบุว่าภาษาเปอร์เซียเป็น 'ภาษากลาง' ของชาวมุสลิมในสยาม[24] ทว่าภาษาของพวกเขาเริ่มสูญหายเพราะขาดการติดต่อกับอิหร่านและโลกชีอะฮ์ใน พ.ศ. 2265 เป็นต้นมา หลังราชวงศ์ซาฟาวิดสิ้นอำนาจ และกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย[24] พวกเขาทิ้งมรดกทางภาษาไว้ เช่น คำว่า ปสาน ที่ปรากฏในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งในสมัยสุโขทัย ซึ่งนักวิชาการให้ความเห็นว่ามาจากคำว่า บอซัร ในภาษาเปอร์เซียที่มีความหมายว่า ตลาดห้องแถว ตลาดขายของแห้ง[3] คำว่ากุหลาบ ที่ยืมมาจากคำว่า กุล้อบ (เปอร์เซีย: گل اب) ในภาษาเปอร์เซีย ที่มีความหมายเดิมว่า น้ำดอกไม้[25][26] และคำว่าคำว่า โมล์ค ที่แปลว่าไก่ แต่คนไทยมุสลิมกลับใช้เรียกเป็นข้าวหมก[27] คำว่า ภาษี มาจาก บัคซี ที่มีความหมายว่า "ของให้เปล่า ของกำนัล หรือรางวัล" และคำว่า สนม มาจากคำว่า ซะนานะฮ์[28] เป็นต้น
ปัจจุบันชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียสูญเสียอัตลักษณ์สำคัญทางชาติพันธุ์ เพราะชุมชนต้องปรับตัวเข้ากับสภาพสังคมพหุวัฒนธรรมของกรุงเทพมหานครโดยถูกกลืนไปกับระบบการศึกษาและการติดต่อกับชุมชนอื่น ๆ และใช้ภาษาไทยในชีวิตประจำวัน[29] จากงานวิจัยเมื่อปี พ.ศ. 2545 พบว่าชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเองได้น้อยที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับชาวไทยมุสลิมกลุ่มอื่นในกรุงเทพมหานคร[30] กระนั้นชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียในฝั่งธนบุรียังคงรักษา "ศัพท์เฉพาะ" สำหรับสื่อสารกับคนในท้องถิ่น เช่น โขบ บุ่นด่า ลั่นดี ซ่าเหรี่ย บ้ะหล่า เป้ระหาน เป็นต้น[31]
เครื่องแต่งกาย
[แก้]แม้แต่เครื่องแต่งกายอย่างลอมพอก ก็เป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมของเปอร์เซีย ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากผ้าโพกหัวของชาวมุสลิมกับชฎาของไทย โดยลอมพอกถือเป็นหมวกสำหรับขุนนางในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ในรัชกาลเดียวกันก็ได้ส่งราชทูตไปยังประเทศฝรั่งเศสเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีในปี พ.ศ. 2229 ลอมพอกจึงเป็นที่สนใจของชาวฝรั่งเศสอย่างมาก[14]
ขณะเดียวสมเด็จพระนารายณ์มหาราชก็โปรดฉลองพระองค์อย่างชาวเปอร์เซียเช่นกัน[14] ในหนังสือสำเภากษัตริย์สุลัยมานของอิบนิ มูฮัมหมัด อิบราฮิม ได้กล่าวถึงสมเด็จพระนารายณ์ ความว่า "เมื่อพระเจ้าแผ่นดินไทยได้ทอดพระเนตรภาพพระราชวังคาข่าน รวมทั้งภาพวาดพระเจ้ากรุงอิหร่านก็ทรงสนพระทัย และเมื่อรับสั่งให้คณะราชทูตเข้าเฝ้าฯ มักเห็นพระนารายณ์ฉลองพระองค์ด้วยเสื้อผ้าอย่างอิหร่าน คือเสื้อคลุมยาว กางเกงขายาว เสื้อชั้นใน ถุงเท้ารองเท้า และเหน็บกริชเปอร์เซีย แต่พระองค์ไม่ได้คลุมผ้าบนพระเศียรดังเช่นแขกทั่วไป ด้วยเหตุที่ทรงหนัก"[14] นอกจากนี้พระองค์ยังโปรดเสวยอาหารเปอร์เซียอีกด้วย[14]
เดิมแขกเจ้าเซ็นมีอัตลักษณ์การแต่งกายด้วยเสื้อผ้าลายยาวกรอมข้อเท้า สวมกางเกงขายาว และใช้ผ้าพันศีรษะ ปัจจุบันเหลืออัตลักษณ์เพียงอย่างเดียวคือสวมหมวกฉาก หรือหมวกกลีบ ที่ใส่ในช่วงพิธีเจ้าเซ็นเท่านั้น[32]
พิธีกรรม
[แก้]ชาวไทยเชื้อสายเปอร์เซียที่นับถือนิกายชีอะฮ์ มีพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญคือ พิธีเจ้าเซ็น ซึ่งทำพิธีถึง 11 วัน โดยหลังจากครบ 11 วันแล้ว ได้มีการทำบุญครบรอบวันตาย 3 วัน 7 วัน 15 วัน 30 วัน และ 40 วัน ตามลำดับ[33] พิธีกรรมดังกล่าวทำเพื่อระลึกถึงฮุเซน บุตรของอะลี ตลอดจนญาติคนอื่นๆที่ถูกลอบสังหารอย่างเหี้ยมโหดที่เมืองกัรบะลาอ์ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก) ซึ่งเป็นที่มาของพิธีเจ้าเซ็น[34] เหตุที่เรียกว่าเจ้าเซ็นนั้นมาจากทำนองภาษาเปอร์เซีย ที่กล่าวว่า "ยาอิมาม ยาฮุเซ็น ชาอฮะซัน ยาฮุเซ็น ยาเมาลา ยาชะฮีต ชาคะลีย ยาฮุเซน" มีความหมายว่า "โอ้ท่านผู้นำ โอ้ท่านฮะซัน โอ้ท่านฮุเซ็น โอ้นายผู้เสียสละตามแนวทางพระเจ้า" คนในอดีตคงได้ยินคำว่า ยาฮุเซ็น ที่มีคนขานหนักแน่นมากกว่า จึงถูกเรียกว่าแขกเจ้าเซ็น[35]
ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้มีหมายรับสั่งให้นำพิธีกรรมดังกล่าวไปถวายให้ทอดพระเนตรในพระบรมมหาราชวังหน้าพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ติดต่อกันถึงสองปี (ในปี พ.ศ. 2358 และ พ.ศ. 2359) และมีพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้เสด็จชมพิธีดังกล่าวอยู่เสมอ ครั้งหลังสุด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ, สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ทอดพระเนตร ณ กุฎีเจริญพาศน์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2496[36]
ในอดีตทุกคนต้องนุ่งดำ งดงานรื่นเริงและการกินเนื้อสัตว์ ทานอาหารเปเรส (อาหารเจ ที่ทำจากผัก) และผู้ชายต้องโกนหัวไว้ทุกข์ด้วย[37] ในประเทศไทยเองยังมีการควั่นหัว โดยใช้มีดโกนกรีดลงกลางศีรษะ ซึ่งผู้กรีดต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เดิมใช้มีเหล็กแหนบรถไฟ แต่ปัจจุบันได้ใช้มีดเยอรมันตราตุ๊กตาคู่ ซึ่งการควั่นหัวเป็นการบนบาน (เหนียต) ตั้งจิตระลึกถึงฮุเซน และเชื่อกันว่ายิ่งควั่นแล้วเลือดออกมากเท่าใดก็ยิ่งแสดงถึงความศรัทธา[38] แต่พิธีควั่นหัวดังกล่าวปรากฏในประเทศเลบานอน และซีเรีย ขณะที่ชาวชีอะฮ์ในประเทศปากีสถาน อินเดีย และพม่า มีเพียงการลุยไฟเท่านั้น[38] ส่วนในอิหร่านเองก็เคยมีการทรมานดังกล่าว แต่ภายหลังการปฏิวัติอิสลาม อยาตุลเลาะห์ โคมัยนีให้ยกเลิกพิธีกรรมดังกล่าว[39]
สถาปัตยกรรม
[แก้]เปอร์เซียในยุคราชวงศ์ซาฟาวิยะห์เป็นยุคที่รุ่งเรืองทางด้านศิลปกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานสถาปัตยกรรม ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้มีการส่งคณะทูตไปยังราชสำนักเปอร์เซียสมัยชาห์สุลัยมานแห่งราชวงศ์ซาฟาวิยะห์ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการติดต่อกันระหว่างสยามกับเปอร์เซีย[40] ในยุคนี้ไทยจึงมีการรับสถาปัตยกรรมของเปอร์เซียเข้ามา
ในเรื่องราวดังกล่าวศาสตราจารย์พิทยา บุนนาค ผู้ศึกษาอิทธิพลศิลปกรรมเปอร์เซียในสถาปัตยกรรมอยุธยา พบว่าโค้งยอดแหลมในอยุธยาเป็นโค้งแบบอิสลามไม่ใช่โค้งแบบกอธิค คือมีการโค้งด้วยการก่ออิฐให้รับน้ำหนักไปข้างๆ และลงสู่ผนัง และมีลักษณะพิเศษคือเป็นโค้งยอดแหลมแบบตวัดนิดหน่อย ซึ่งพบได้ในอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ แต่ไม่พบในการก่อสร้างลักษณะนี้ในอิหร่าน จึงมีการสันนิษฐานว่าโค้งลักษณะดังกล่าวคงถูกพัฒนาโดยชาวเปอร์เซียในอินเดียก่อนเข้ามาในสยาม[40]
อาหาร
[แก้]อาหารของชาวเปอร์เซียได้เป็นมรดกตกมาถึงยุคปัจจุบันแม้ว่าจะเป็นอาหารแบบเดียวกับมุสลิมกลุ่มอื่นไม่ว่าฮินดูหรือมุสลิม หริอ ชาวจาม อินเดีย ยะวา และมลายู ซึ่งหากินได้ทั่วไปจนเข้าใจว่าเป็นอาหารดั้งเดิมของไทย แต่อาหารเปอร์เซียในไทยนั้นจะมีรสชาติที่แตกต่างจากอิหร่าน ได้แก่ กะบาบ ในประเทศไทยเองก็มีเช่นกัน แต่ทำเฉพาะในงานบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย (บุญสี่สิบวัน) ถือเป็นอาหารพิเศษที่ทำไม่มากชิ้น รสชาติของกะบาบไทยจะอมหวานนิดๆ อาจเนื่องมาจากความมันของกะทิ[41] แกงกุรหม่าของไทยก็มีความแตกต่างจากแกงกุรหม่าของอิหร่านเช่นกัน เนื่องจากแกงกุรหม่าไทยมีกลิ่นเครื่องเทศมาก ซึ่งอาจได้รับอิทธิพลจากอาหารอินเดียหรืออาจมาจากการผสมผสาน[42] ฮะยีส่า หรือข้าวอาชูรอ ที่ทำกันทั้งนิกายซุนนีย์และชีอะฮ์ในวันที่ 10 ของเดือนมุฮัรรอม (มะหะหร่ำ) ที่กุฎีเจริญพาศน์นั้น ฮะยีส่ามีชื่อเสียงมากที่สุดจนกล่าวกันว่า "ข้าวฮะยีส่า สามกุฎีสี่สุเหร่า สู้ที่นี่ไม่ได้"[43]
นอกจากนี้ยังมีอาหารอีกหลายชนิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากเปอร์เซีย เช่น ข้าวหมก, ข้าวเปียกนม, ข้าวแขก, อาลัว, มัศกอด และขนมไส้ไก่ เป็นต้น[44]
ดูเพิ่ม
[แก้]เชิงอรรถ
[แก้]- อ้างอิง
- ↑ สมลักษณ์ วงษ์รัตน์. อิหร่านใน...8 ทิวาราตรี. นนทบุรี : อมรินทร์บุ๊คเซ็นเตอร์, หน้า 111-112
- ↑ 2.0 2.1 ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา (2512). ตำนานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า (PDF). พระนคร: กรมศิลปากร. p. 1.
- ↑ 3.0 3.1 3.2 สุดารา สุจฉายา. หน้า 135
- ↑ วรพจน์ วิเศษศิริ และลำพอง กลมกูล (มกราคม–มิถุนายน 2562). มุสลิมชีอะห์จากอิหร่านกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มุสลิมในประเทศไทย. วารสารพุทธอาเซียนศึกษา (4:1). p. 20.
- ↑ พิทยะ ศรีวัฒนสาร (10 มกราคม 2554). "แขกเทศ : ชาวโปรตุเกส หรือ แขกมุสลิม?". สยาม-โปรตุเกสศึกษา. สืบค้นเมื่อ 25 พฤษภาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ วรพจน์ วิเศษศิริ และลำพอง กลมกูล (มกราคม–มิถุนายน 2562). มุสลิมชีอะห์จากอิหร่านกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มุสลิมในประเทศไทย. วารสารพุทธอาเซียนศึกษา (4:1). p. 18.
- ↑ วรพจน์ วิเศษศิริ และลำพอง กลมกูล (มกราคม–มิถุนายน 2562). มุสลิมชีอะห์จากอิหร่านกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มุสลิมในประเทศไทย. วารสารพุทธอาเซียนศึกษา (4:1). p. 19.
- ↑ 8.0 8.1 8.2 8.3 "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 153
- ↑ วรพจน์ วิเศษศิริ และลำพอง กลมกูล (มกราคม–มิถุนายน 2562). มุสลิมชีอะห์จากอิหร่านกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์มุสลิมในประเทศไทย. วารสารพุทธอาเซียนศึกษา (4:1). p. 25.
- ↑ สุเทพ สุนทรเภสัช, หน้า 113
- ↑ Christoph Marcinkowsk (กุมภาพันธ์ 2557). Persians and Shi‘ites in Thailand: From the Ayutthaya Period to the Present (PDF). Pasir Panjang, Singapore: Nalanda-Sriwijaya Centre Working Paper Series No. 15. p. 5. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2023-12-15. สืบค้นเมื่อ 2022-04-16.
- ↑ 12.0 12.1 สุเทพ สุนทรเภสัช, หน้า 114
- ↑ สุดารา สุจฉายา. หน้า 138
- ↑ 14.0 14.1 14.2 14.3 14.4 ""มุสลิม" ในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2011-06-13.
- ↑ 15.0 15.1 พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ), หน้า 84
- ↑ พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ), หน้า 29
- ↑ พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ), หน้า 34
- ↑ น. ณ ปากน้ำ. "ขุนนางแขกสมัยกรุงศรีอยุธยา". วารสารเมืองโบราณ ปีที่ 17 1 มกราคม-มีนาคม 2534, หน้า 61-66
- ↑ พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ), หน้า 93
- ↑ "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 154
- ↑ "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 110
- ↑ "ตร.เฝ้าระวังโบสถ์ยิว ร้านอาหารอิสราเอล ซ.รามบุตรี". ผู้จัดการออนไลน์. 17 กุมภาพันธ์ 2555. สืบค้นเมื่อ 18 พฤษภาคม 2563.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ สุเทพ สุนทรเภสัช, หน้า 120
- ↑ 24.0 24.1 Christoph Marcinkowski (กุมภาพันธ์ 2557). Persians and Shi‘ites in Thailand: From the Ayutthaya Period to the Present (PDF). Pasir Panjang, Singapore: Nalanda-Sriwijaya Centre Working Paper Series No. 15. p. 9. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิม (PDF)เมื่อ 2023-12-15. สืบค้นเมื่อ 2022-04-16.
- ↑ สุดารา สุจฉายา. หน้า 144
- ↑ ""กุหลาบ" คำยืมจากภาษาเปอร์เซีย ที่ดั้งเดิมไม่ได้แปลว่า "กุหลาบ" (?)". ศิลปวัฒนธรรม. 14 กุมภาพันธ์ 2560. สืบค้นเมื่อ 5 กันยายน 2560.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help) - ↑ สุดารา สุจฉายา. หน้า 165
- ↑ "มุสลิมเชียงใหม่ดอตเน็ต - มุสลิมและชาวเปอร์เซียในสยามประเทศ". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2016-03-05. สืบค้นเมื่อ 2011-06-12.
- ↑ สุเทพ สุนทรเภสัช, หน้า 120
- ↑ วราภรณ์ ติระ - คำเรียกญาติของชาวไทยมุสลิมที่มีเชื้อสายต่างกันในกรุงเทพมหานคร
- ↑ พิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการดำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย, หน้า 234
- ↑ พิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการดำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย, หน้า 81-85
- ↑ "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 102
- ↑ "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 100
- ↑ "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 106
- ↑ ธเนศ ช่วงพิชิต, หน้า 45
- ↑ "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 103
- ↑ 38.0 38.1 "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 116
- ↑ ธเนศ ช่วงพิชิต, หน้า 35
- ↑ 40.0 40.1 สุดารา สุจฉายา. หน้า 167
- ↑ สุดารา สุจฉายา. หน้า 163
- ↑ สุดารา สุจฉายา. หน้า 164
- ↑ "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี, หน้า 114
- ↑ สุดารา สุจฉายา. หน้า 166-167
- บรรณานุกรม
- ธีรนันท์ ช่วงพิชิต (2551). พิธีเจ้าเซ็น (อาชูรอ) : อัตลักษณ์และการดำรงชาติพันธุ์ของมุสลิมนิกายชีอะห์ในสังคมไทย (PDF). ภาควิชามานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยศิลปากร.
- สุดารา สุจฉายา. "ประวัติศาสตร์เก็บตกที่อิหร่าน ย้อนรอยสายสัมพันธ์ไทย-อิหร่าน". กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550, หน้า 134-169
- สุดารา สุจฉายา (บรรณาธิการ). "นักเดินทาง...เพื่อความเข้าใจในแผ่นดิน" ธนบุรี. กรุงเทพฯ : กรุงเทพ, 2542, ISBN 974-8211-87-8
- ธเนศ ช่วงพิชิต. "วิถีความเชื่อ". กรุ่นกลิ่นอารยธรรมเปอร์เซียในเมืองสยาม. กรุงเทพฯ : มติชน, 2550, หน้า 28-47
- พลาดิศัย สิทธิธัญกิจ (บรรณาธิการ). เล่าเรื่องเฉกอะหมัดต้นสกุลบุนนาค จากเอกสารพิมพ์ดีด ๒๔๘๒. กรุงเทพฯ : บันทึกสยาม, หน้า 84
- สุเทพ สุนทรเภสัช. ชาติพันธุ์สัมพันธ์ : แนวคิดพื้นฐานทางมานุษยวิทยาในการศึกษาอัตลักษณ์กลุ่มชาติพันธุ์ ประชาชาติ และการจัดองค์กรความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์. กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, 2548. ISBN 974-7383-89-6
แหล่งข้อมูลอื่น
[แก้]- ธีรนันท์ ช่วงพิชิต (เมษายน 2544). "ตามรอย สำรับแขกคลองบางหลวง". นิตยสารสารคดี. 194. สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2558.
{{cite web}}
: ตรวจสอบค่าวันที่ใน:|accessdate=
(help)