ข้ามไปเนื้อหา

ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3
ใบปิดภาพยนตร์
กำกับไมเคิล เบย์
เขียนบทเอเรน ครูเกอร์
สร้างจากทรานส์ฟอร์มเมอร์ส
โดย ฮาสโบร
อำนวยการสร้าง
นักแสดงนำ
กำกับภาพอาเมียร์ โมกรี
ตัดต่อ
ดนตรีประกอบสตีฟ จาบลอนสกี
บริษัทผู้สร้าง
ผู้จัดจำหน่ายพาราเมาต์พิกเจอส์
วันฉาย

  • 29 มิถุนายน ค.ศ. 2011 (2011-06-29) (สหรัฐ[2][3])
ความยาว154 นาที[4]
ประเทศสหรัฐ
ภาษาอังกฤษ
ทุนสร้าง195 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[5][6]
ทำเงิน1.124 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[6]

ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3 (อังกฤษ: Transformers : Dark of the moon) เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนววิทยาศาสตร์ และ แนวแอ็คชั่นบันเทิงคดีแนววิทยาศาสตร์ มีต้นแบบมาจากหุ่นยนต์ของเล่นชุดทรานส์ฟอร์เมอร์สที่สามารถแปลงร่างได้ เริ่มออกฉายครั้งแรก เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ปีพุทธศักราช 2554 สำหรับภาคนี้ เป็นภาคที่สามของภาพยนตร์ชุดเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องราวที่สืบเนื่องมาจากภาพยนตร์ ทรานส์ฟอร์เมอร์ส อภิมหาสงครามแค้น ที่ออกฉายใน พ.ศ. 2552 ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องที่ต่อมาภายหลัง 3 ปี ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ต่อเนื่องเรื่องแรกที่บริษัท ดรีมเวิร์กส ไม่ได้จัดจำหน่าย และมอบให้ พาราเมาต์พิกเจอร์ส เป็นเจ้าของผลงานแต่เพียงผู้เดียว

ทรานส์ฟอร์เมอร์ส 3 ได้รับการกำกับโดยไมเคิล เบย์ และได้ สตีเวน สปีลเบิร์กเป็นผู้อำนวยการบริหาร ทรานส์ฟอร์เมอร์สภาคนี้เป็นภาพยนตร์ภาคสุดท้ายที่ ทาคาร่า ทอมมี่ (Takara Tomy) เป็นเจ้าของ และ ฮาสโบร์ว (Hasbro) เป็นผู้ออกแบบตัวละครหุ่นยนต์ในภาพยนตร์ ที่ประเทศญี่ปุ่น เรื่องราวเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นเนื้อเรื่องภายหลัง 3 ปี ต่อจากเหตุการณ์จากภาคเดิมในปี พ.ศ. 2552 กล่าวถึงฝ่าย ออโต้บ็อตส์ (Autobots) ที่ทำการร่วมรบกับ กองทหารพิเศษฝ่ายมนุษย์ ชื่อว่า หน่วยเนสท์(Nest ซึ่งย่อมาจาก Nonbiological Extraterrestrial Species Treaty) เพื่อค้นหาเทคโนโลยีต่างดาวที่ซ่อนอยู่ปะปนกับมนุษย์บนโลก ซึ่งเคยถูกค้นพบมาแล้วบนดวงจันทร์ โดยยานอวกาศ อะพอลโล 11 (Apollo 11) เมื่อ 42 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม ฝ่าย ดีเซปติคอนส์ (Decepticons) มีแผนที่จะใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ในการที่จะทำให้มนุษย์ตกเป็นทาส และในการที่จะฟื้นฟูดาวไซเบอร์ตรอน เพื่อให้เป็นบ้านหลังใหม่ของพวกทรานส์ฟอร์เมอร์ส

เนื้อเรื่อง

[แก้]

ในปี คริสต์ศักราช 1961 ยานบิน ดิ อาร์ค (The Ark) ยานอวกาศลำใหญ่ของฝ่ายออโต้บ็อตส์ได้นำเอาสิ่งประดิษฐ์บางอย่างหนีไป หลังจากจบสงครามระหว่างฝ่ายกู้โลกออโต้บ็อตส์ และฝ่ายทำลายโลกดีเซปติคอน แต่สุดท้ายยานบินลำนั้นประสบอุบัติเหตุพุ่งชนดวงจันทร์ และ การพุ่งชนครั้งนั้นส่งผลให้มีสัญญาณที่ตรวจเจอความผิดปกติส่งมายังโลกโดยดาวเทียมของ นาซ่า ต่อมา ประธานาธิบดี จอห์น เอฟ.เคนเนดี ได้ออกคำสั่งให้มีภารกิจส่งหน่วยพิเศษเพื่อขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ ในปี คริสต์ศักราช 1969 ลูกเรือของยาน อะพอลโล 11 จึงลงจอดบนดวงจันทร์ได้สำเร็จ

ในปัจจุบัน ออโต้บ็อตส์ทำการร่วมมือกับกองทหารของสหรัฐอเมริกา ในการป้องกันสงครามและการต่อสู้ของหุ่นยนต์ทั่วทั้งโลก รวมทั้งการตามหาเทคโนโลยีต่างดาวที่ถูกซ่อนอยู่บนโลก ออพติมัส ไพรม์ ได้พบกับซากชิ้นส่วนของ ดิ อาร์ค และ พบว่าหุ่นยนต์ฝ่ายดีเซปติคอนส์มีชีวิตรอดมาจากการตกกระแทกของยานอวกาศในครั้งนั้น ได้ทำการโจมตีฝ่ายออโต้บ็อตส์ และหลบหนีไปได้ เมื่อฝ่ายออโต้บ็อตส์รู้ว่ามีการโจมตีโลกอีกครั้ง จึงรวมตัวสมาชิกที่เหลือรอดอยู่บนโลกและออกเดินทางไปรอบโลก เพื่อทำลายชิ้นส่วนของ เดอะอาร์ค และ พบกับบรรพบุรุษของออพติมัส ไพรม์ ชื่อว่า เซนทิเนล ไพรม์ ซึ่งกำลังสลบอยู่ และพบกับเสาพลังงานทั้ง 5 ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะใช้ในการเคลื่อนย้ายไปมา ระหว่างโลกกับอวกาศ หลังจากกลับมายังโลก ออพติมัสได้ใช้พลังของเมททริกซ์แห่งจิตพลังผู้นำ เพื่อคืนชีพ ให้กับ เซนทิเนล ผู้เป็นพี่ชายของเขา

ขณะเดียวกับ แซม วิทวิคกี้ (Sam Witwicky) กำลังสับสนระหว่างการช่วยเหลือออโต้บ็อตส์หรือจะออกหางานทำ เนื่องจากเขาอิจฉาและไม่พอใจที่แฟนใหม่ของเขา คาร์ดี้ สเปนเซอร์ (Carly Spencer) ไปสนิทสนมกับ ดีแลน กูลด์ หัวหน้าบริษัทแห่งหนึ่งที่แซมเพิ่งได้งานใหม่ที่นั่น แซม ได้คุยกับเพื่อนของเขาเกี่ยวกับยานบินดิ อาร์คก่อนที่เพื่อนเขาจะถูกสังหารโดยเลเซอร์บีค และแซมก็ได้พยายามติดต่อ กับ ซีมัวร์ ซิมมอนส์ อดีตเจ้าหน้าที่จากหน่วยลับเซ็กเตอร์เซเว่นที่รู้ความลับเรื่องหุ่นยนต์ เพื่อศึกษาเกี่ยวกับฝ่ายดีเซปติคอน และ หัวหน้าเมกะทรอน แซมได้ค้นพบว่าดีเซปติคอนเคยครอบครองยานอวกาศเดอะอาร์คมาก่อน ก่อนที่พวกออโต้บ็อตส์จะสละยาน และทิ้งเซนทิเนล ไพรม์ กับเสาหลักทั้ง 5 เสาไว้เพื่อล่อให้ดีเซปติคอนส์ไปติดกับดัก ถือได้ว่าเซนทิเนลคือกุญแจสำคัญที่จะทำให้เสาทั้ง 5 ทำงานได้ และฝ่ายดีเซปติคอนส์เองก็ต้องการใช้เสาพลังงานเพื่อเคลื่อนย้ายกองทัพ จึงทำให้ดีเซปติคอนส์ต้องไว้ชีวิตเซนทิเนล ไพรม์ ไว้ แซมทราบความจริงดังนั้นจึงรีบเร่งให้บัมเบิลบี ดีโน่ และไซด์สไวป์ รีบกลับไปเพื่อช่วยเหลือเซนทิเนล ไพรม์ แต่เซนทิเนลกลับหักหลังและสังหารหุ่นรบฝ่ายออโต้บ็อตส์ ชื่อว่า ไอร่อนไฮด์ เนื่องจากเซนทิเนลตัดสินใจทำข้อตกลงกับเมกะทรอนไว้ ว่าจะทำให้เผ่าพันธุ์หุ่นยนต์ทั้งหมดมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เซนทิเนลรู้ว่า ออโต้บ็อตส์ไม่ต้องการทำร้ายมนุษย์เพราะหากนำดาวไซเบอร์ทรอนและหุ่นยนต์ทั้งหมดมายังโลกจะทำให้โลกมนุษย์สูญสิ้น เซนทิเนลจึงหักหลังออพติมัส ไปเข้าร่วมกับเมกะทรอนทันที

ต่อมาเซนทิเนลได้ใช้พลังของแท่งเสาเคลื่อนย้ายหุ่นยนต์ทั้งหลายที่ต้องการมายังโลกมนุษย์ ดีเซปติคอนส์ซึ่งมีจำนวนหลายร้อยตัวจึงได้ถูกดูดจากดวงจันทร์มาสู่โลก ในขณะที่คาร์ลี่ แฟนใหม่ของแซม ถูกดีแลนด์ซึ่งแท้จริงแล้วรับใช้ฝ่ายดีเซปติคอนส์อยู่ลับหลังนั้น จับตัวเธอไป และฝ่ายออโต้บ็อตส์ถูกหน่วยเหนือบังคับให้เดินทางออกจากโลกเพื่อหลีกเลี่ยงสงคราม แซมรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เขาและออพติมัสต้องจากกัน ยานอวกาศได้รับการบินขึ้น แต่สุดท้ายก็ถูกสตาร์สครีมยิงระเบิดหมดทั้งลำ แต่โชคดีที่พวกออโต้บ็อตส์ได้วางแผนว่าจะขึ้นยานไปแต่แอบสละยานออกก่อนที่ยานจะระเบิดและซ่อนตัวใต้มหาสมุทรแอตแลนติก เพื่อให้เซนทิเนลและเมกะทรอนตายใจว่าออโต้บ็อตส์เสียชีวิตกันหมดแล้ว เมกะทรอนหลงเชื่อจึงนำเสาทั้ง 5 ไปปักไว้แต่ละทวีปทั่วโลก เพื่อเคลื่อนย้ายดาวไซเบอร์ทรอนและหุ่นยนต์จากอวกาศมาสู่โลก และ เมื่อมีการดำเนินการเคลื่อนย้ายหุ่นยนต์มายังโลกก็ทำให้ทวีปแรกที่เริ่ม ดำเนินการหายไป แซมจึงร่วมมือกับยูเอส แอร์ฟอร์ซชีพ เพื่อหยุดยั้งการนำหุ่นยนต์จากนอกโลกเข้ามายังโลก และเพื่อช่วยเหลือคาร์ลี่ที่ถูกดีแลนด์จับตัวไปด้วย

หลังจากนั้นผู้คนได้เริ่มทำสงครามกับดีเซปติคอนส์ แต่ไม่สามารถสู้ได้ เมื่อพวกเขาใกล้จะแพ้ ฝ่ายออโต้บ็อตส์ที่ซ่อนตัวอยู่ก็ออกมาช่วยมนุษย์ทำสงครามกับดีเซปติคอน บัมเบิลบีอาสาขับยานพาแซมไปช่วยคาร์ลี่ และสังหารเลเซอร์บีคฝ่ายดีเซปติคอนส์ตาย โชคร้ายที่ภายหลังบัมเบิลบี แร็ตเชต และหุ่นยนต์ตัวอื่น ๆ ถูกซาวด์เวฟ และ บาร์ริเคด จับเป็นเชลย วีลแจ็ค หรือ คิว หุ่นยนต์ออโต้บ็อตส์ถูกบาร์ริเคดฆ่าตาย จากนั้นจึงจับตัวบัมเบิลบีมาหวังจะฆ่าเป็นรายต่อไป แต่วิลลี่ และ เบรนส์ หุ่นยนต์ขนาดเล็กทำการฉีกยานบินฝ่ายข้าศึกขนาดใหญ่ในบริเวณนั้นพอดี ยานบินจึงตกลงมายังจุดที่ออโต้บ็อตส์ถูกจับ บัมเบิลบีจึงใช้โอกาสโต้กลับและสังหารซาวด์เวฟตาย ในเวลาเดียวกัน แซมได้ใช้อาวุธประดิษฐ์ของคิว ที่ให้แซมไว้ก่อนสิ้นใจสังหารสตาร์สครีมได้เช่นกัน ขณะที่คาร์ลี่ทำใจกล้าใช้เล่ห์กลล่อลวงให้เมกะทรอนและเซนทิเนลทะเลาะกันเอง คาร์ลี่ทำการสำเร็จ เมกะทรอนจึงมุ่งหน้าไปสังหารเซนทิเนล ฝ่ายออพติมัสที่ออกต่อสู้กับเซนทิเนลนั้น กำลังเสียเปรียบ เมกะทรอนเข้ามายิงเซนทิเนลบาดเจ็บสาหัส ออพติมัสใช้โอกาสสำคัญนี้สังหารทั้งเมกะทรอนและเซนทิเนลเสียชีวิตทั้งคู่ ขณะเดียวกัน บัมเบิลบีไปทำลายระบบแท่งเสาเคลื่อนย้ายดวงดาวได้เช่นกัน เมื่อสงครามจบลง ออพติมัส ได้สัญญาว่าจะร่วมรบกับมนุษย์เพื่อจะปกป้องโลกต่อไป

ตัวละคร

[แก้]
  • แซม วิทวิคกี้ รับบท โดย ไชอา เลอบัฟ (ให้เสียงภาษาไทยโดย กริน อักษรดี) เขาเป็นถึงผู้ที่ช่วยโลกไว้ถึงสองครั้งสองครา และได้กลายเป็นเพื่อนกับพวก ออโต้บ็อตส์
  • คาร์ลี่ รับบทโดย โรซี่ ฮันติงตัน ไวท์ลี่ย์ (ให้เสียงภาษาไทยโดย นิรมล กิจภิญโญชัย) แฟนใหม่ของแซม เธอมักจะรู้สึกไม่ค่อยดีเวลาที่แซม วิทวิคกี้ ไปเสี่ยงอันตรายต่าง ๆ นานา
  • ผู้พันวิลเลี่ยม เลนนิกซ์ รับบทโดย จอช เดอเมล (ให้เสียงภาษาไทยโดย จิราวัฒน์ วชิรศรัณย์ภัทร) เป็นผู้บัญชาการหน่วยเนสท์ ร่วมมือทำการสำคัญกับออพติมัส ไพรม์และเหล่าออโต้บ็อตส์มาตั้งแต่ภาคแรก
  • โรเบิร์ต เอปส์ รับบทโดย ไทริส กิบสัน (ให้เสียงภาษาไทยโดย เกรียงศักดิ์ เหรียญทอง) คู่หูของเลนนิกซ์ ซึ่งปัจจุบันเกษียณราชการแล้ว แต่ก็ยังตัดสินใจเชิญชวนเพื่อนทหารของเขากลับมาช่วยแซมกู้โลกร่วมกัน
  • ซีมัวร์ ซิมมอนส์ รับบทโดย จอห์น เทอร์เทอร์โร (ให้เสียงภาษาไทยโดย สามารถ เมฆะวิภาค) อดีตเจ้าหน้าที่ของเซ็กเตอร์เซเว่น ที่ยินยอมพร้อมใจช่วยเหลือออโต้บ็อตส์ในยามคับขันมาตลอด
  • ออพติมัส ไพรม์ (ให้เสียงภาษาไทยโดย ธงชัย ชาญชำนิ) เป็นผู้นำของเหล่าออโต้บ็อตส์ ฝีมือนั้นเรียกได้ว่าหาตัวจับยากมาก เขามีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะปกป้องมนุษย์และพยายามพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าออโต้บ็อตส์ควรได้สิทธิ์อยู่บนโลกต่อไป
  • บัมเบิลบี (ให้เสียงภาษาไทยโดย ชานนท์ จำเนียรแพทย์) เป็นเพื่อนของแซม วิทวิคกี้ ตั้งแต่ภาคแรก ยังคอยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับแซมอยู่เช่นเดิม
  • ไอร่อนไฮด์ (ให้เสียงภาษาไทย บุญชนะ โชควิชาโกศล) หุ่นจอมบึกที่มักจะแสดงปืนใหญ่ประจำกายให้ทุก ๆ คนได้พบเห็นอยู่เป็นประจำ ภายหลังไอร่อนไฮด์ถูกเซนติเนล ไพรม์ยิงด้วยปืนสนิมจนเสียชีวิต เพราะเซนติเนล ไพรม์ทำเพื่อผลประโยชน์ของดวงดาวบ้านเกิด
  • ไซด์สไวป์ (ให้เสียงภาษาไทยโดย เอกชัย พงษ์สมัย) ผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้ด้วยมีดดาบ แปลงร่างเป็นรถเปิดประทุน เขาทำการร่วมด้วยช่วยกันจัดการดีเซปติคอนส์กับพวกเพื่อนๆในออโต้บ็อตส์เสมอมา
  • ดีโน่ (ให้เสียงภาษาไทยโดย ศุภสรณ์ มุมแดง) เป็นหุ่นยนต์ฝ่ายออโต้บ็อตส์ แปลงร่างเป็นรถยนต์สีแดง ดีโน่ได้มีส่วนร่วมในการปราบปรามหุ่นยนต์ดีเซปติคอนส์แทบทุกครั้ง
  • แร็ตเชต (ให้เสียงภาษาไทยโดย ศุภสรณ์ มุมแดง) มีหน้าที่หลักในการปฐมพยาบาลหุ่นยนต์ทุกๆตัว แต่เขาก็ร่วมกันปราบพวกศัตรูร่วมกับออโต้บ็อตส์ตัวอื่น ๆ ด้วยเช่นเดียวกัน
  • วีลแจ็ค หรือ คิว หุ่นยนต์นักประดิษฐ์ มีความชำนาญด้านการสร้างอาวุธขนาดย่อม คิวมีลักษณะร่างกายขนาดเล็กและสวมแว่นตา ในช่วงเวลาที่ออโต้บ็อตส์ถูกจับเป็นเชลยนั้นเอง คิวถูกบาร์ริเคดฆ่าตายในตัวเมืองชิคาโก้
  • ลีดฟุท (ให้เสียงภาษาไทยโดย บุญชนะ โชควิชาโกศล) หุ่นยนต์จากหน่วยเวรคเกอร์ แปลงร่างเป็นรถแข่งสีแดง และมีปืนกลขนาดย่อมติดอยู่รอบตัว
  • เซนทิเนล ไพรม์ (ให้เสียงภาษาไทยโดย เอกชัย พงษ์สมัย) พี่ชายของ ออพติมัส ไพรม์ แต่ก่อนนี้เซนทิเนลเคยเป็นหัวหน้าออโต้บ็อตส์มาก่อนที่ออพติมัส ไพรม์ จะได้เป็น เซนทิเนลเกรงว่าดาวไซเบอร์ทรอนจะล่มสลายจึงทำข้อตกลงกับเมกะทรอน และหักหลังออโต้บ็อตส์ด้วยการสังหารไอร่อนไฮด์
  • เมกะทรอน (ให้เสียงภาษาไทยโดย จักรรัตน์ ศรีรักษ์) เป็นหัวหน้าฝ่ายดีเซปติคอนส์ เขาได้รับบาดเจ็บจากสงครามใหญ่ ณ ประเทศอียิปต์ ทำให้ร่างกายเป็นสนิมไม่แข็งแรงเหมือนก่อน
  • ช็อคเวฟ เป็นตัวร้ายที่สุดของเรื่อง มีหุ่นยนต์สว่านเป็นลูกน้องคนสนิท ช็อคเวฟมีส่วนร่วมในการทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์และปราบปรามฝ่ายออโต้บ็อตส์ แต่ช็อคเวฟก็ถูกออพติมัส ไพรม์ฆ่าตายในภายหลัง
  • ดริลเลอร์ หุ่นยนต์หนอนสว่านขนาดใหญ่ซึ่งเป็นลูกน้องมือขวาของช็อคเวฟ
  • ซาวด์เวฟ (ให้เสียงภาษาไทยโดย ศุภสรณ์ มุมแดง) ลูกน้องคนสนิทของเมกะทรอน ในภาคนี้ซาวด์เวฟได้ลงมาทำการร่วมกับเมกะทรอนที่โลกมนุษย์โดยมีวิธีการอำพรางกายด้วยการแปลงร่างเป็นรถหรู
  • เลเซอร์บีค มือขวาของซาวด์เวฟ เขาทำหน้าที่คอยจัดการพวกที่คิดต่อต้าน และ/หรือรู้ความลับบางอย่างของฝ่ายดีเซปติคอนส์
  • สตาร์สครีม ลูกน้องมือขวาของเมกะทรอนที่ทำหน้าที่ส่งเสริมนโยบายของเมกะทรอน สุดท้ายสตาร์สครีมถูกแซม วิทวิคกี้ สังหารด้วยระเบิดเวลาซึ่งเป็นอาวุธประดิษฐ์ของคิว

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Transformers: Dark Of The Moon Presents Linkin Park – Live In Moscow On June 23 In Support Of Movie's World Premiere In Russia". Paramount Pictures. May 23, 2011. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 20, 2012. สืบค้นเมื่อ February 12, 2016.
  2. "Global sites & Release Dates". Paramount Pictures. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ February 21, 2011. สืบค้นเมื่อ February 12, 2016.
  3. Labrecque, Jeff. "'Transformers: Dark of the Moon' gets new release date". Entertainment Weekly. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ March 15, 2022. สืบค้นเมื่อ May 20, 2011.
  4. "Transformers – Dark Of The Moon". BBFC. June 21, 2011. สืบค้นเมื่อ June 28, 2011.
  5. Fernandez, Jay A. (May 25, 2011). "Michael Bay Reveals James Cameron's Secret Role in the Making of 'Transformers'". The Hollywood Reporter. สืบค้นเมื่อ August 14, 2011.
  6. 6.0 6.1 "Transformers: Dark of the Moon (2011)". Box Office Mojo. สืบค้นเมื่อ 2014-01-18.

แหล่งข้อมูลอื่น

[แก้]