ข้ามไปเนื้อหา

เฟซบุ๊ก

หน้าถูกกึ่งป้องกัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
(เปลี่ยนทางจาก Facebook)

เฟซบุ๊ก


ภาพจับหน้าจอ
ประเภทบริการเครือข่ายสังคม
การจัดพิมพ์
ภาษาที่ใช้ได้111 ภาษา[1]
รายชื่อภาษา
หลายภาษา
อาฟรีกานส์, แอลเบเนีย, อัมฮาริก, อาหรับ, อาร์มีเนีย, อัสสัม, อาเซอร์ไบจาน, บาสก์, เบลารุส, เบงกอล, บอสเนีย, เบรอตง, บัลแกเรีย, พม่า, กาตาลา, เซบัวโน, คอร์ซิกา, โครเอเชีย, เช็ก, เดนมาร์ก, ดัตช์, ดัตช์ (เบลเยียม), อังกฤษ (สหราชอาณาจักร), อังกฤษ (สหรัฐ), อังกฤษ (กลับหัว), เอสเปรันโต, เอสโตเนีย, แฟโร, ฟิลิปิโน, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส (แคนาดา), ฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส), ฟรีเซีย, ฟูลา, กาลีเซีย, จอร์เจีย, เยอรมัน, กรีก, กวารานี, คุชราต, เฮติครีโอล, เฮาซา, ฮีบรู, ฮินดี, ฮังการี, ไอซ์แลนด์, อินโดนีเซีย, ไอริช, อิตาลี, ญี่ปุ่น, ญี่ปุ่น (คันไซ), ชวา, กันนาดา, คาซัค, เขมร, กิญญาร์วันดา, เกาหลี, เคิร์ด (กุรมันชี), คีร์กีซ, ลาว, ลัตเวีย, ลิทัวเนีย, มาซิโดเนีย, มาลากาซี, มลายู, มลยาฬัม, มอลตา, มราฐี, มองโกเลีย, เนปาล, นอร์เวย (bokmal), นอร์เวย์ (nynorsk), โอริยา, ปาทาน, เปอร์เซีย, โปแลนด์, โปรตุเกส (บราซิล), โปรตุเกส (โปรตุเกส), ปัญจาบ, โรมาเนีย, รัสเซีย, ซาร์ดิเนีย, เซอร์เบีย, โชนา, ไซลีเชีย, จีนตัวย่อ (จีน), สิงหล, สโลวัก, สโลวีเนีย, โซมาลี, เคิร์ดโซรานี, สเปน, สเปน (สเปน), สวาฮิลี, สวีเดน, ซีรีแอก, ทาจิก, เบอร์เบอร์, ทมิฬ, ตาตาร์, เตลูกู, เตตุน, ไทย, จีนตัวเต็ม (ฮ่องกง), จีนตัวเต็ม (ไต้หวัน), ตุรกี, ยูเครน, อูรดู, อุซเบก, เวียดนาม, เวลส์ และซาซา
ก่อขึ้น4 กุมภาพันธ์ 2004; 20 ปีก่อน (2004-02-04) ที่เคมบริดจ์, รัฐแมสซาชูเซตส์
พื้นที่ให้บริการทั่วโลก ยกเว้นประเทศที่บล็อก
ผู้ก่อตั้งมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
เอดูอาโด ซาเวอริน
แอนดรูว์ แม็กคอลลัม
ดัสติน มอสโควิส
คริส ฮิวจ์ส
ผู้บริหารสูงสุดมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก
บริษัทแม่เมตา (อดีตมีชื่อว่า บริษัทเฟซบุ๊ก)
ยูอาร์แอลfacebook.com
ลงทะเบียนจำเป็น (เพื่อทำกิจกรรม)
ผู้ใช้เพิ่มขึ้น 2.91 พันล้านผู้ใช้ที่มีความเคลื่อนไหวต่อเดือน (ข้อมูลเมื่อ 29 เมษายน ค.ศ. 2021 (2021 -04-29))[2]
เปิดตัว4 กุมภาพันธ์ 2004; 20 ปีก่อน (2004-02-04)
สถานะปัจจุบันดำเนินการ
เขียนด้วยC++, Hack (ในฐานะHHVM), D
[3][4][5][6]

เฟซบุ๊ก (อังกฤษ: Facebook) เป็นบริการเครือข่ายสังคมสัญชาติอเมริกัน สำนักงานใหญ่อยู่ที่ เมนโลพาร์ก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐ เฟซบุ๊กก่อตั้งเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก และเพื่อนร่วมห้องในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สมาชิกเพื่อนผู้ก่อตั้ง คือ เอดูอาโด ซาเวอริน, แอนดรูว์ แม็กคอลลัม, ดัสติน มอสโควิส และคริส ฮิวจ์ส ในตอนแรกจำกัดผู้เข้าชมเฉพาะนักศึกษามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ภายหลังได้เพิ่มจำนวนมหาวิทยาลัยในพื้นที่บอสตัน ไอวีลีก และมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และค่อย ๆ รับรองมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ต่อมารับรองโรงเรียนมัธยมศึกษา โดยเฟซบุ๊กอนุญาตให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 13 ปี ทั่วโลกสามารถสมัครสมาชิกได้โดยไม่ต้องอ้างอิงหลักฐานใด ๆ ใน ค.ศ. 2020 เฟซบุ๊กอ้างว่ามีผู้ใช้ที่ยังคงใช้งานรายเดือนที่ 2.9 พันล้านคน[2] โดยมีผู้ใช้งานทั่วโลกมากเป็นอันดับ 7[7] และเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่มียอดดาวน์โหลดมากที่สุดในคริสต์ทศวรรษ 2010[8]

เฟซบุ๊กมักถูกวิจารณ์ในหลายปัญหา เช่นความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ (จากเรื่องอื้อฉาวในข้อมูลของเฟซบุ๊ก–เคมบริดจ์แอนะลิติกา), การชักใยทางการเมือง (จากการแทรกแซงของรัสเซียในการเลือกตั้งสหรัฐ ค.ศ. 2016), การสอดแนมมวลชน,[9] ผลกระทบทางจิตวิทยา เช่น การเสพติดสื่อสังคม, ความภูมิใจแห่งตน, ข่าวปลอม, ทฤษฎีสมคบคิด, การละเมิดลิขสิทธิ์ และประทุษวาจา[10] นักวิจารณ์กล่าวหาเฟซบุ๊กว่าจงใจอำนวยความสะดวกในการเผยแพร่เนื้อหาดังกล่าว[11][12][13][14] เช่นเดียวกับการระบุจำนวนผู้ใช้เกินจริงเพื่อดึงดูดโฆษณา[15]

ประวัติ

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้เริ่มเขียนเว็บไซต์ เฟซแมช ขึ้นมาก่อนที่จะเป็นเฟซบุ๊ก เมื่อวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2003 ขณะที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 2 ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด โดยเป็นเว็บไซต์ที่เปรียบเสมือนเว็บ ฮอตออร์น็อต ของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด[16] และจากข้อมูลของหนังสือพิมพ์มหาวิทยาลัยที่ชื่อ The Harvard Crimson เฟซแมชใช้ภาพที่ได้จาก เฟซบุ๊ก หนังสือแจกสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยที่มีรูปนักศึกษา จากบ้าน 9 หลัง โดยจะมีรูป 2 รูปให้คนเลือกว่า ใครร้อนแรงกว่ากัน[17]

มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊ก

เพื่อทำให้ได้สำเร็จ ซักเคอร์เบิร์กได้แฮกเข้าไปในเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของฮาวาร์ดในพื้นที่ป้องกัน และได้คัดลอกภาพส่วนตัวประจำหอพัก ซึ่งในขณะนั้นฮาวาร์ดยังไม่มีสารบัญรูปภาพและข้อมูลพื้นฐานของนักศึกษา และเฟซแมชได้ทำให้มีผู้เข้าเยี่ยมชม 450 คน และดูรูปภาพ 22,000 ครั้งใน 4 ชั่วโมงแรกที่ออนไลน์[17] และเว็บไซต์นี้ได้จำลองสังคมกายภาพของคน ด้วยอัตลักษณ์จริง เป็นตัวแทนของกุญแจสำคัญด้านมุมมอง ที่ต่อมาได้กลายมาเป็น เฟซบุ๊ก[18]

เว็บไซต์ได้ก้าวไกลไปในหลายเซิร์ฟเวอร์ของกลุ่มในมหาวิทยาลัย แต่ก็ปิดตัวไปในอีกไม่กี่วันโดยคณะบริหารฮาวาร์ด ซักเคอร์เบิร์กถูกกล่าวโทษว่าทำผิดต่อระบบรักษาความปลอดภัย การละเมิดลิขสิทธิ์ และการละเมิดความเป็นส่วนตัว และยังถูกไล่ออก แต่ท้ายที่สุดแล้วข้อกล่าวหาก็ยกเลิกไป[19] ต่อมาซักเคอร์เบิร์กได้ขยับขยายโครงการในเทอมนั้นเอง โดยได้คิดค้นเครื่องมือการศึกษาทางสังคมที่ก้าวหน้า ของการสอบวิชาประวัติศาสตร์ โดยการอัปโหลดรูปเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โรม 500 รูป โดยมี 1 รูปกับอีก 1 ส่วนที่ให้แสดงความเห็น[18] เขาเปิดกับเพื่อนร่วมชั้นของเขา และคนเริ่มที่จะแบ่งปันข้อความกัน

ในเทอมต่อมาซักเคอร์เบิร์กเริ่มเขียนโค้ดในเว็บไซต์ใหม่ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2004 เขาได้รับแรงกระตุ้นให้ทำ เขาพูดไว้ใน The Harvard Crimson เกี่ยวกับเรื่อง เฟซแมช[20] และเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2004 ซักเกอร์เบิร์กได้เปิดตัวเว็บไซต์ "เดอะเฟซบุก" ในยูอาร์แอล thefacebook.com[21]

6 วันหลังจากเปิดเว็บไซต์ รุ่นพี่ 3 คน คือ แคเมรอน วิงก์เลวอส, ไทเลอร์ วิงก์เลวอส และดิฟยา นาเรนดรา ได้ฟ้องร้องซักเกอร์เบิร์กที่หลอกลวงพวกเขาให้เชื่อว่า เขาได้ช่วยที่จะช่วยสร้างเครือข่ายสังคมที่ชื่อว่า HarvardConnection.com ขณะที่เขาใช้แนวคิดพวกเขาในการสร้างเว็บไซต์เพื่อแข่งขัน[22] ทั้ง 3 คนได้บ่นในหนังสือพิมพ์ Harvard Crimson โดยทางหนังสือพิมพ์เริ่มทำการสอบสวน ต่อมาทั้ง 3 คนได้ยื่นฟ้องทางกฎหมายต่อซักเกอร์เบิร์กในภายหลัง[23]

แต่เดิม สมาชิกจะจำกัดเฉพาะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด และภายในเดือนแรก มากกว่าครึ่งหนึ่งของนักศึกษาที่กำลังศึกษาอยู่ได้ลงทะเบียนใช้บริการ[24] เอ็ดวาร์โด ซาเวริน (ดูแลเรื่องธุรกิจ), ดิสติน มอสโควิตซ์ (โปรแกรเมอร์), แอนดรูว์ แม็กคอลลัม (กราฟิก) และคริส ฮิวส์ ที่ต่อมาได้ร่วมกับซักเกอร์เบิร์กเพื่อประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ และในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ขยับขยายสู่มหาวิทยาลัยอื่นอย่าง สแตนฟอร์ด, โคลัมเบีย, และเยล[25] และยังคงขยับขยายต่อสู่กลุ่มไอวีลีกทั้งหมด และมหาวิทยาลัยบอสตัน, มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก, เอ็มไอที และสู่มหาวิทยาลัยอื่นในแคนาดาและสหรัฐอเมริกาไปทีละน้อย[26][27]

เฟซบุ๊กได้เป็นบริษัทในฤดูร้อนปี ค.ศ. 2004 และได้นักธุรกิจ ฌอน พาร์กเกอร์ ที่ได้เคยแนะนำซักเกอร์เบิร์กอย่างเป็นกันเอง ก็ได้ก้าวมาเป็นประธานของบริษัท.[28] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2004 เฟซบุ๊กได้ย้ายฐานปฏิบัติงานมาอยู่ที่ แพโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย[25] และได้รับเงินทุนในเดือนนั้นจากผู้ร่วมก่อตั้ง เพย์พาล ที่ชื่อ ปีเตอร์ ธีล[29] บริษัทได้เปลี่ยนชื่อ โดยลดคำว่า เดอะ ออกไป และซื้อโดเมนเนมใหม่ในชื่อ เฟซบุ๊ก.คอม ในปี ค.ศ. 2005 ด้วยเงิน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐ[30]

เฟซบุ๊กได้เปิดตัวในรูปแบบของโรงเรียนไฮสคูล ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2005 ที่ซักเกอร์เบิร์กเรียกว่า ก้าวต่อไปที่มีเหตุผล[31] ณ เวลานั้นในเครือข่ายไฮสคูล ต้องการการรับเชิญเท่านั้นเพื่อร่วมเว็บไซต์[32] ต่อมาเฟซบุ๊กได้ขยับขยายให้กับลูกจ้างบริษัทที่คัดสรรอย่าง แอปเปิล และ ไมโครซอฟท์[33] เฟซบุ๊กได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2006 ให้ทุกคนได้ใช้กัน โดยต้องมีอายุมากกว่า 13 ปี และมีอีเมลที่แท้จริง[34][35]

ในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2007 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าได้ซื้อหุ้นของเฟซบุ๊กเป็นจำนวน 1.6% ด้วยเงิน 240 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เฟซบุกมีมูลค่าราว 15 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[36] และทำให้ไมโครซอฟท์มีสิทธิ์ที่จะแขวนป้ายโฆษณาบนเฟซบุ๊กได้[37] ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2008 เฟซบุกประกาศว่าจะตั้งสำนักงานใหญ่ระดับนานาชาติในดับลิน ประเทศไอร์แลนด์[38]

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2009 เฟซบุ๊กได้กล่าวว่า สถานะการเงินเริ่มเป็นตัวเลขบวกเป็นครั้งแรก [39] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2010 จากข้อมูลของ เซคันด์มาร์เก็ต ระบุว่าเฟซบุกมีมูลค่า 41 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (แซงหน้าอีเบย์ไปเล็กน้อย) และถือเป็นบริษัทเว็บไซต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 3 รองจากกูเกิลและแอมะซอน[40] สถิติผู้เข้าชมในเฟซบุ๊กหลังปี ค.ศ. 2009 ผู้ชมเฟซบุ๊กมากกว่ากูเกิลในปลายสัปดาห์ของสัปดาห์ 13 มีนาคม ค.ศ. 2010 [41]

ข้อพิพาทและการวิจารณ์

เฟซบุ๊กประสบกับข้อพิพาทหลายเรื่อง เฟซบุ๊กถูกปิดกั้นการเข้าถึงเป็นช่วง ๆ ในหลายประเทศ อย่างเช่นใน ประเทศจีน,[42] เวียดนาม[43] อิหร่าน[44] อุซเบกิสถาน[45] ปากีสถาน[46] ซีเรีย[47] ลาว[48] กัมพูชา[49] พม่า[50] บรูไน[51] และบังคลาเทศ[52] ในเหตุผลที่แตกต่างกันไป ตัวอย่างเช่น เนื้อหาการต่อต้านอิสลามและการแบ่งแยกทางศาสนาในเฟซบุ๊ก และยังถูกห้ามใช้จากหลายประเทศ และยังถูกห้ามใช้ในสถานที่ทำงานหลายที่เพื่อป้องกันพนักงานเสียเวลาในการทำงาน[53] และนโยบายความเป็นส่วนตัวก็เป็นประเด็น และความปลอดภัยของบัญชีผู้ใช้ก็มีการไกล่เกลี่ยกันหลายต่อหลายครั้ง เฟซบุ๊กได้ลงมือแก้ปัญหาคดีความที่เกี่ยวกับซอร์ซโคดและทรัพย์สินทางปัญญา[54]

เคมบริดจ์แอนะลิติกา

ในเดือนมีนาคม 2561 ผู้เป่านกหวีดเปิดเผยว่า มีการขายสารสนเทศส่วนบุคคลของผู้ใช้เฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคนให้เคมบริดจ์แอนะลิติกา บริษัทวิเคราะห์ข้อมูลการเมืองซึ่งทำงานให้การรณรงค์ทางการเมืองของดอนัลด์ ทรัมป์ แอพที่การวิจัยวิทยาศาสตร์ทั่วโลก (Global Science Research) สร้างรวบรวมข้อมูลดังกล่าว[55] แม้ว่ามีผู้อาสาใช้แอพนี้ประมาณ 270,000 คน แต่เอพีไอของเฟซบุ๊กยังอนุญาตให้เก็บรวบรวมข้อมูลจากเพื่อนของผู้ใช้แอพดังกล่าว[56] เมื่อมีการรายงานสารสนเทศดังกล่าวต่อเฟซบุ๊กครั้งแรก เฟซบุ๊กพยายามลดความสำคัญของการละเมิดดังกล่าวและพยายามเสนอว่าเคมบริดจ์แอนะลิติกาไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกขโมยไปแล้ว ทว่า เมื่อมีการตรวจสอบละเอียดเพิ่มขึ้นแล้ว เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์แสดงความตื่นตระหนกและระงับเคมบริดจ์แอนะลิติกา ขณะที่การทบทวนเอกสารและการสัมภาษณ์กับอดีตลูกจ้างของเฟซบุ๊กเสนอว่าเคมบริดจ์แอนะลิติกายังครอบครองข้อมูลนั้น[57] เป็นการละเมิดกฤษฎีกาความยินยอมที่มีผลตามกฎหมายโดยเฟซบุ๊กกับคณะกรรมการการค้ากลาง (Federal Trade Commission) และการละเมิดกฤษฎีกาความยินยอมอาจมีโทษปรับถึง 40,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อการละเมิดหนึ่งครั้ง หมายความว่า หากพิสูจน์ได้ว่ามีการแบ่งปันข้อมูลของผู้ใช้ 50 ล้านคนจริง บริษัทอาจเสียค่าปรับหลักล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ[58]

ตามข้อมูลของผู้สื่อข่าว เดอะการ์เดียน คาโรล คัดวอลลัดเดอร์ (Carole Cadwalladr) ซึ่งเปิดเผยเรื่องนี้ ทั้งเฟซบุ๊กและเคมบริดจ์แอนะลิติกาขู่ฟ้องหนังสือพิมพ์หากพิมพ์เรื่องนี้และพยายามยับยั้งการพิมพ์เรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เมื่อมีการพิมพ์เรื่องนี้ เฟซบุ๊กอ้างว่าถูก "โกหก" คัดวอลลัดเดอร์กล่าวว่าเฟซบุ๊กพยายามผลักการกล่าวโทษสู่บุคคลภายนอก นิก ทอมสันแห่งไวอัด และ ซีบีเอสนิวส์ ชี้ว่าเคมบริดจ์แอนะลิติกาได้ข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดโดยไม่จำเป็นต้อง "ละเมิด" เฟซบุ๊ก และ "มันไม่ได้ผลเพราะบางคนแฮ็กเข้าไปพังสิ่งต่าง ๆ แต่มันได้ผลเพราะเฟซบุ๊กได้สร้างแบบจำลองโฆษณาที่รุกล้ำมากที่สุดบ้าที่สุดในประวัติศาสตร์โลก และบางคนใช้ประโยชน์จากมัน"[59] วันที่ 23 มีนาคม 2561 ศาลสูงบริติชอนุมัติหมายค้นตามคำขอของสำนักงานกรรมาธิการสารสนเทศเพื่อค้นสำนักงานกรุงลอนดอนของเคมบริดจ์แอนะลิติกา[60]

วันที่ 25 มีนาคม ซักเกอร์เบิร์กลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์สหราชอาณาจักรและสหรัฐขออภัยเรื่อง "การละเมิดความเชื่อมั่น" ซึ่งมีทั้งซันเดย์เทเลกราฟ, ซันเดย์ไทมส์, เมลออนซันเดย์, ดิออฟเซิร์ฟเวอร์, ซันเดย์มิเรอร์และซันเดย์เอ็กซ์เพรส[61]

บริษัท

บริการเครือข่ายสังคมที่เป็นที่นิยมในแต่ละประเทศ
  เฟซบุ๊ก
  QZone
  ไม่มีข้อมูล

รายได้ส่วนมากของเฟซบุ๊กมาจากการโฆษณา โดยไมโครซอฟท์เป็นผู้ร่วมหุ้นพิเศษในด้านการบริการแบนเนอร์โฆษณา[62] และเฟซบุ๊กให้มีการโฆษณาเฉพาะที่อยู่ในรายการลูกค้าของไมโครซอฟท์ และจากข้อมูลของคอมสกอร์ บริษัทสำรวจการตลาดทางอินเทอร์เน็ต ระบุว่า เฟซบุ๊กได้รวบรวมข้อมูลเข้าเว็บไซต์มากกว่า กูเกิลและไมโครซอฟท์ แต่น้อยกว่า ยาฮู![63] ในปี ค.ศ. 2010 ทีมระบบความปลอดภัยได้เพิ่มประโยชน์จากการต่อต้านภัยคุกคามและก่อการร้ายจากผู้ใช้[64] เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2007 เฟซบุ๊กได้เปิดตัว เฟซบุ๊กบีคอน เป็นการพยายามในการโฆษณาให้เหล่าเพื่อน โดยใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เพื่อนซื้อ แต่เฟซบุ๊กบีคอนก็เกิดความล้มเหลว

โดยปกติแล้ว เฟซบุ๊กจะมีอัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณา (clickthrough rate) ต่ำกว่าเว็บไซต์ใหญ่ ๆ อื่น ที่ในแบนเนอร์โฆษณา เฟซบุ๊กจะมีอัตราการคลิก 1 ต่อ 5 เทียบกับเว็บไซต์อื่น[65] นั่นหมายถึงว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่น้อยกว่า ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะกดคลิกโฆษณา ตัวอย่างเช่น ผู้ใช้กูเกิลคลิกโฆษณาแรกในการค้นหาเฉลี่ย 8% (80,000 คลิกในทุก 1 ล้านการค้นหา) [66] แต่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะคลิกโฆษณาในอัตรา 0.04% (400 คลิกในทุก 1 ล้านหน้า) [67]

แซราห์ สมิท ผู้จัดการบริการงานขายออนไลน์ของเฟซบุ๊ก ยืนยันว่า การรณรงค์โฆษณาประสบความสำเร็จ สามารถมีอัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณา (CTR) ต่ำอยู่ราว 0.05% ถึง 0.04% แต่อัตราการคลิกโฆษณาต่อการการแสดงโฆษณาสำหรับโฆษณามีแนวโน้มจะตกลงภายใน 2 อาทิตย์[68] เมื่อเปรียบเทียบ CTR กับมายสเปซแล้ว มียอดประมาณ 0.1% ซึ่งเป็น 2.5 เท่าของเฟซบุ๊ก และต่ำกว่านี้เมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่น คำอธิบายเรื่อง CTR สำหรับโฆษณาที่ต่ำในเฟซบุ๊กเนื่องจาก ข้อเท็จจริงที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กเป็นผู้รอบรู้ทางเทคโนโลยีและใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันและซ้อนโฆษณา ผู้ใช้มักเป็นคนหนุ่มสาวกว่าและชอบที่จะหลีกเลี่ยงข้อความโฆษณา ที่ในมายสเปซแล้วผู้ใช้จะเข้าถึงเนื้อหามากกว่า ในขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะใช้เวลาในการสื่อสารกับเพื่อน เป็นเหตุให้พวกเขาไปสนใจโฆษณา[69]

ในหน้าของตราสินค้าและผลิตภัณฑ์ ในบางบริษัทมีรายงานว่า มี CTR สูงถึง 6.49% ในหน้าวอล[70] อินโวลเวอร์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการตลาดสังคม ประกาศว่า ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2009 ว่าสามารถบรรลุเป้า CTR ที่ 0.7% ในเฟซบุ๊ก (เป็น 10 เท่าของ CTR การโฆษณาในเฟซบุ๊ก) กับลูกค้าคือ เซเรนาซอฟต์แวร์ ถือเป็นลูกค้ารายแรกของอินโวเวอร์ ที่สามารถมีผู้ชม 1.1 ล้านครั้งจากผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ 8,000 คน[71] จากการศึกษาพบว่า วิดีโอโฆษณาในเฟซบุ๊กนั้น ผู้ใช้ 40% ดูวิดีโอทั้งหมดของวิดีโอ ขณะที่ค่าเฉลี่ยมาตรฐานอยู่ที่ 25% ของโฆษณาแบบแบนเนอร์ในวิดีโอ[72]

เฟซบุ๊กมีลูกจ้างมากกว่า 1,700 คน และมีสำนักงานใน 12 ประเทศ[73] โดยมาร์ก ซักเคอร์เบิร์กถือหุ้นของบริษัท 24% แอ็กเซล พาร์ตเนอร์ถือหุ้น 10% ดิจิตอลสกายเทคโนโลยีส์ถือหุ้น 10%[74] ดัสติน มอสโควิตซ์ถือหุ้น 6% เอ็ดวาร์โด ซาเวรินถือหุ้น 5% ฌอน พาร์กเกอร์ถือหุ้น 4% ปีเตอร์ ธีลถือหุ้น 3% เกรย์ล็อกพาร์ตเนอร์สและเมริเทคแคพิทอลพาร์ตเนอร์ส ถือหุ้นระหว่าง 1 ถึง 2% แต่ละบริษัท ไมโครซอฟท์ถือหุ้น 1.3% ลิ คา-ชิงถือหุ้น 0.75% อินเตอร์พับลิกกรุปถือหุ้นน้อยกว่า 0.5% นอกจากนั้นยังมีลูกจ้างปัจจุบันและอดีตลูกจ้างรวมถึงผู้มีชื่อเสียงอื่นถือหุ้นอีกน้อยกว่า 1% เช่น แมต โคห์เลอร์, เจฟฟ์ รอทส์ไชลด์, วุฒิสมาชิกรัฐแคลิฟอร์เนีย บาร์บารา บอกเซอร์, คริส ฮิวส์ และโอเวน แวน แนตตา ขณะที่รีด ฮอฟแมนและมาร์ก พินคัสเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท และที่เหลืออีก 30% ถือหุ้นโดยลูกจ้าง ผู้มีชื่อเสียงไม่เปิดเผยชื่ออีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงนักลงทุนอื่น[75] แอดัม ดี'แองเจโล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีและเพื่อนของซักเคอร์เบิร์กได้ลาออกไปในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2008 มีรายงานอ้างว่าเขาและซักเคอร์เบิร์กเริ่มไม่ลงรอยกัน และเป็นเหตุให้เขาไม่มีความสนใจในการเป็นหุ้นส่วนของบริษัท[76]

การตอบรับ

ข้อมูลเมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 ประเทศที่มีผู้ใช้เฟซบุ๊กมากที่สุด คือ[77]

  1. สหรัฐอเมริกา 168.7 ล้านคน
  2. ประเทศเม็กซิโก 40.2 ล้านคน
  3. ประเทศบราซิล 64.6 ล้านคน
  4. ประเทศอินเดีย 62.6 ล้านคน
  5. ประเทศอินโดนีเซีย 51.4 ล้านคน

หกประเทศข้างต้นมีสมาชิกทั้งสิ้น 309 ล้านคน หรือราวร้อยละ 38.6 ของสมาชิก 1 พันล้านคนทั่วโลกของเฟซบุ๊ก[78]

หมายเหตุ

อ้างอิง

  1. "Facebook Interface Languages". Facebook (Select your language).
  2. 2.0 2.1 "Facebook Reports First Quarter 2021 Results". Facebook Investor Relations. March 31, 2021. สืบค้นเมื่อ March 31, 2021.
  3. "Our History". Facebook. สืบค้นเมื่อ November 7, 2018.
  4. Clarke, Gavin (February 2, 2010). "Facebook re-write takes PHP to an enterprise past". The Register. Situation Publishing. สืบค้นเมื่อ March 23, 2017.
  5. Bridgwater, Adrian (October 16, 2013). "Facebook Adopts D Language". Informa. San Francisco.
  6. Levin, Sam (July 3, 2018). "Is Facebook a publisher? In public it says no, but in court it says yes" – โดยทาง The Guardian.
  7. "The top 500 sites on the web". Alexa Internet. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2021-02-03. สืบค้นเมื่อ January 21, 2021.
  8. Miller, Chance (December 17, 2019). "These were the most-downloaded apps and games of the decade". 9to5Mac (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). สืบค้นเมื่อ December 17, 2019.
  9. "Facebook accused of conducting mass surveillance through its apps". the Guardian (ภาษาอังกฤษ). May 24, 2018. สืบค้นเมื่อ October 9, 2020.
  10. Mahdawi, Arwa (December 21, 2018). "Is 2019 the year you should finally quit Facebook? | Arwa Mahdawi". The Guardian – โดยทาง www.theguardian.com.
  11. Medrano, Kastalia (January 25, 2018). "Facebook Spreads Viral Fake News Story About Vaccines". Newsweek.
  12. Raphael, Rina (February 4, 2019). "A shockingly large majority of health news shared on Facebook is fake or misleading". Fast Company.
  13. "Facebook will not remove fake news - but will 'demote' it". BBC News. July 13, 2018.
  14. Funke, Daniel (March 6, 2019). "Forget fake news stories. False text posts are getting massive engagement on Facebook". Poynter.
  15. Claburn, Thomas (August 17, 2018). "Facebook flat-out 'lies' about how many people can see its ads – lawsuit". The Register. สืบค้นเมื่อ November 18, 2020.
  16. Tabak, Alan J. (February 9, 2004). "Hundreds Register for New Facebook Website". Harvard Crimson. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2005-04-03. สืบค้นเมื่อ 2008-11-07.
  17. 17.0 17.1 Locke, Laura. "The Future of Facebook" เก็บถาวร 2010-03-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, Time Magazine, July 17, 2007. Retrieved November 13, 2009.
  18. 18.0 18.1 McGirt, Ellen. "Facebook's Mark Zuckerberg: Hacker. Dropout. CEO. ", Fast Company, May 1, 2007. Retrieved November 5, 2009.
  19. Kaplan, Katherine (2003-11-19). "Facemash Creator Survives Ad Board". The Harvard Crimson. สืบค้นเมื่อ 2009-02-05.
  20. Hoffman, Claire (2008-06-28). "The Battle for Facebook". Rolling Stone. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-03. สืบค้นเมื่อ 2009-02-05.
  21. Seward, Zachary M. (2007-07-25). "Judge Expresses Skepticism About Facebook Lawsuit". The Wall Street Journal. สืบค้นเมื่อ 2008-04-30.
  22. Carlson, Nicolas (2010-03-05). "In 2004, Mark Zuckerberg Broke Into A Facebook User's Private Email Account". Business Insider. สืบค้นเมื่อ 2010-03-05.
  23. Brad Stone (2008-06-28). "Judge Ends Facebook's Feud With ConnectU". The New York Times. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-12-26. สืบค้นเมื่อ 2010-11-23.
  24. Phillips, Sarah (2007-07-25). "A brief history of Facebook". The Guardian. London. สืบค้นเมื่อ 2008-03-07.
  25. 25.0 25.1 "Press Room". Facebook. 2007-01-01. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
  26. Rosmarin, Rachel (2006-09-11). "Open Facebook". Forbes. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.
  27. "Online network created by Harvard students flourishes". The Tufts Daily. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-10-29. สืบค้นเมื่อ 2009-08-21.
  28. Rosen, Ellen (2005-05-26). "Student's Start-Up Draws Attention and $13 Million". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2009-05-18.
  29. "Why you should beware of Facebook". The Age. Melbourne. 2008-01-20. สืบค้นเมื่อ 2008-04-30.
  30. Williams, Chris (2007-10-01). "Facebook wins Manx battle for face-book.com". The Register. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.|
  31. Dempsey, Laura (2006-08-03). "Facebook is the go-to Web site for students looking to hook up". Dayton Daily News.
  32. Lerer, Lisa (2007-01-25). "Why MySpace Doesn't Card". Forbes. เก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-06-02. สืบค้นเมื่อ 2008-06-13.
  33. Lacy, Sarah (2006-09-12). "Facebook: Opening the Doors Wider". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2008-03-09.
  34. Abram, Carolyn (2006-09-26). "Welcome to Facebook, everyone". Facebook. สืบค้นเมื่อ 2008-03-08.
  35. "Terms of Use". Facebook. 2007-11-15. สืบค้นเมื่อ 2008-03-05.
  36. "Facebook and Microsoft Expand Strategic Alliance". Microsoft. 2007-10-24. สืบค้นเมื่อ 2007-11-08.
  37. "Facebook Stock For Sale". BusinessWeek. สืบค้นเมื่อ 2008-08-06.
  38. "Press Releases". Facebook. 2008-11-30. สืบค้นเมื่อ 2008-11-30.
  39. "Facebook 'cash flow positive,' signs 300M users". Cbc.ca. 2009-09-16. สืบค้นเมื่อ 2010-03-23.
  40. Facebook Becomes Third Biggest US Web Company
  41. "Facebook Reaches Top Ranking in US". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-03-01.
  42. "Uzbek authorities have blocked access to Facebook". สืบค้นเมื่อ 21 October 2010. "China's Facebook Status: Blocked". ABC News. July 8, 2009. สืบค้นเมื่อ 13 July 2009.
  43. Ben Stocking (2009-11-17). "Vietnam Internet users fear Facebook blackout". The San Francisco Chronicle. Associated Press. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-05-21. สืบค้นเมื่อ 2009-11-17.
  44. Shahi, Afshin. (July 27, 2008). "Iran's Digital War". Daily News Egypt. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-08-14. สืบค้นเมื่อ August 16, 2008.
  45. (รัสเซีย)
  46. Cooper, Charles (2010-05-19). "Pakistan Bans Facebook Over Muhammad Caricature Row – Tech Talk". CBS News. สืบค้นเมื่อ 2010-06-26.
  47. "Red lines that cannot be crossed". The Economist. July 24, 2008. สืบค้นเมื่อ August 17, 2008.
  48. "Red lines that cannot be crossed". The Economist. July 24, 2008. สืบค้นเมื่อ August 17, 2008.
  49. "Red lines that cannot be crossed". The Economist. July 24, 2008. สืบค้นเมื่อ August 17, 2008.
  50. Cooper, Charles (2010-05-19). "Pakistan Bans Facebook Over Muhammad Caricature Row – Tech Talk". CBS News. สืบค้นเมื่อ 2010-06-26.
  51. Cooper, Charles (2010-05-19). "Pakistan Bans Facebook Over Muhammad Caricature Row – Tech Talk". CBS News. สืบค้นเมื่อ 2010-06-26.
  52. Ben Escurado (2010-11-14). "Saudi Arabia blocks Facebook". TechViewz.Org. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-12-09. สืบค้นเมื่อ 2010-11-16.
  53. Benzie, Robert (May 3, 2007). "Facebook banned for Ontario staffers". Toronto: TheStar.com. สืบค้นเมื่อ August 16, 2008.
  54. Stone, Brad (April 7, 2008). "Facebook to Settle Thorny Lawsuit Over Its Origins". The New York Times (blog). คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-10. สืบค้นเมื่อ November 5, 2009.
  55. Lewis, Paul; Wong, Julia Carrie (2018-03-18). "Facebook employs psychologist whose firm sold data to Cambridge Analytica". the Guardian. สืบค้นเมื่อ 2018-03-20.
  56. Franceschi-Bicchierai, Lorenzo (2018-03-19). "Why We're Not Calling the Cambridge Analytica Story a 'Data Breach'". Motherboard. สืบค้นเมื่อ 2018-03-20.
  57. Rosenberg, Matthew; Confessore, Nicholas; Cadwalladr, Carole (March 17, 2018). "How Trump Consultants Exploited the Facebook Data of Millions" – โดยทาง NYTimes.com.
  58. Timberg, Craig; Romm, Tony (2018-03-18). "Facebook may have violated FTC privacy deal, say former federal officials, triggering risk of massive fines". Washington Post (ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน). ISSN 0190-8286. สืบค้นเมื่อ 2018-03-25.
  59. "Facebook knew of illicit user profile harvesting for 2 years, never acted".
  60. CNBC (2018-03-23). "UK High Court grants Cambridge Analytica search warrant to ICO". CNBC. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2018-03-23. สืบค้นเมื่อ 2018-03-23.
  61. "Facebook boss apologises in newspaper ads". BBC News (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2018-03-25. สืบค้นเมื่อ 2018-03-25.
  62. "Product Overview FAQ: Facebook Ads". Facebook. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-02-28. สืบค้นเมื่อ 2008-03-10.
  63. Story, Louise (2008-03-10). "To Aim Ads, Web Is Keeping Closer Eye on You". The New York Times. สืบค้นเมื่อ 2008-03-09.
  64. Cluley, Graham (February 1, 2010). "Revealed: Which social networks pose the biggest risk?". Sophos. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.
  65. "Facebook May Revamp Beacon". BusinessWeek. 2007-11-28. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
  66. "Google AdWords Click Through Rates Per Position". AccuraCast. 2009-10-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-26. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
  67. Denton, Nick (2007-03-07). "Facebook 'consistently the worst performing site'". Gawker. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-26. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
  68. "Facebook Says Click Through Rates Do Not Match Those At Google". TechPulse 360. 2009-08-12. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2010-08-22. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
  69. Leggatt, Helen (2007-07-16). "Advertisers disappointed with Facebook's CTR". BizReport. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-07-12. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
  70. Klaassen, Abbey (2009-08-13). "Facebook's Click-Through Rates Flourish ... for Wall Posts". AdAge. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
  71. "Involver Delivers Over 10x the Typical Click-Through Rate for Facebook Ad Campaigns". Press release. 2008-07-31. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-10-11. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
  72. Walsh, Mark (2010-06-15). "Study: Video Ads On Facebook More Engaging Than Outside Sites". MediaPost. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-09-16. สืบค้นเมื่อ 2010-07-18.
  73. "Facebook Factsheet". สืบค้นเมื่อ November 21, 2010.
  74. "Facebook's friend in Russia". CNN. 2010-10-04. สืบค้นเมื่อ December 18, 2010.
  75. David Kirkpatrick. The Facebook Effect. p. 322. ISBN 1439102112.
  76. McCarthy, Caroline (May 11, 2008). "As Facebook goes corporate, Mark Zuckerberg loses an early player". CNET.com. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-06-26. สืบค้นเมื่อ July 12, 2010.
  77. "Facebook Statistics by country". March 3, 2012.
  78. "43.1 Million Members of Facebook in Indonesia". February 2, 2012. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2013-01-17. สืบค้นเมื่อ 2013-01-05.

อ่านเพิ่ม

แหล่งข้อมูลอื่น