แดงมนตร์ดำ ศักดิ์ระพี พรหมชาติ
...วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
และแล้วสิ่งที่คนไทยทั้งหลายไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงพากันเอาเลือดไปเทที่ทำเนียบรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์ และบ้านนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยมีหมอผีที่อ้างว่าตนเองเป็นลูกพราหมณ์ราชสำนักอาวุโสเป็นผู้ทำพิธี เราจึงน่าจะมาทำความรู้จักกับศักดิ์ระพี พรหมชาติ บุตรชายของพราหมณ์แจ้ง พรหมชาติ และความเป็นมาของคณะพราหมณ์ในราชสำนักดู
เทวสถานโบสถ์พราหมณ์อันเป็นที่พำนักของคณะพราหมณ์และบรรดาผู้สืบสายตระกูลพราหมณ์มาตั้งแต่สร้างกรุงเทพฯ นั้น สถาปนาขึ้นเมื่อปี 2327 ภายหลังที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างกรุงเทพฯ ได้ปีหนึ่ง ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บรรดาผู้สืบสายตระกูลพราหมณ์มาสร้างบ้านเรือนอยู่กันเป็นชุมชนบริเวณรอบๆ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์นั้นด้วย ซึ่งก็คือบริเวณหน้าวัดสุทัศน์และเสาชิงช้า โดยผู้ที่สืบสายตระกูลพราหมณ์ผู้ใดได้รับการบวชพราหมณ์ตามจารีต ขนบธรรมเนียมประเพณีของพราหมณ์อย่างถูกต้องสมบูรณ์แล้ว ก็จะได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับราชการอยู่ในคณะพราหมณ์แห่งราชสำนักสืบต่อกันมา ซึ่งมีทั้งพราหมณ์พิธีและพราหมณ์พฤฒิบาศ ส่วนลูกหลานในตระกูลพราหมณ์ที่มิได้บวชพราหมณ์ต่างก็แยกย้ายกันไปประกอบอาชีพหาเลี้ยงตัวไปตามปกติ
สำหรับตระกูลพราหมณ์ที่ได้รับราชการในราชสำนักสืบต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ ประกอบด้วยตระกูลรังสิพราหมณ์กุล รัตนพราหมณ์ วุฒิพราหมณ์ พวังคนันท์ สยมภพ โกมลเวทิน และนาคะเวทิน
เมื่อครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์คณะพราหมณ์ในราชสำนักได้ให้ความเคารพนับถือและยกย่องให้พราหมณ์ในตระกูลคุรุกุลเป็นหัวหน้าคณะ และสืบทอดสู่ลูกหลานจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ พระมหาราชครูอุ่ม คุรุกุล ในรัชกาลนี้ได้มีการค้นพบช้างเผือกประจำรัชกาลที่ จ.สุโขทัย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พราหมณ์พฤฒิบาศอันเป็นน้องชายของพระมหาราชครูอุ่ม คุรุกุล ขึ้นไปรับช้างและกล่อมช้าง นำช้างลงแพล่องแม่น้ำมายังกรุงเทพฯ ได้มาขึ้นที่ท่าน้ำใกล้กับพระบรมมหาราชวังที่เรียกกันว่าท่าช้างมาจนกระทั่งทุกวันนี้ แต่เนื่องจากการเดินทางไปกล่อมช้างให้ลืมป่าเข้ามาเมืองกินเวลานานหลายเดือน อีกทั้งต้องเดินทางไปอยู่ในดินแดนอันเป็นป่าเขาที่ชุกชุมด้วยไข้ป่า เมื่อนำช้างมาถึงกรุงเทพฯ ได้ไม่นาน พราหมณ์พฤฒิบาศผู้เป็นน้องชายของพระมหาราชครูอุ่ม คุรุกุล ก็ถึงแก่กรรมด้วยไข้ป่า
พระมหาราชครูอุ่ม คุรุกุล มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อแอบ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงชุบเลี้ยงให้เข้าศึกษาวิชาสามัญจนจบมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ด้วยทรงมีพระราชประสงค์ให้ไปศึกษาต่อวิชาพราหมณ์ที่ประเทศอินเดียเพื่อที่จะให้ผู้สืบสกุลพราหมณ์ในตระกูลคุรุกุล มาทำนุบำรุงลัทธิพราหมณ์ในประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรือง เนื่องจากขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยที่สืบทอดกันตั้งแต่ครั้งบรรพชนนั้นมีความเชื่อในทางพุทธและพราหมณ์ผสมผสานกันมาอย่างแยกไม่ออก แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จสวรรคตไปเสียก่อน แอบ คุรุกุล จึงไม่ได้ไปศึกษาวิชาพราหมณ์ที่ประเทศอินเดีย และมิได้บวชพราหมณ์เลยจนตลอดชีวิต
พระมหาราชครูอุ่ม คุรุกุล มีพี่สาวคนหนึ่ง คือ คุณจอมอิ่ม ซึ่งมีหน้าที่สำคัญในราชสำนักฝ่ายในดังที่คุณจอม ม.ร.ว.สดับ ลดาวัลย์ ได้เขียนไว้ในหนังสือที่ระลึกงานพระราชทานเพลิงศพ เยื้อน ลดาวัลย์ ผู้เป็นน้องสะใภ้ และเป็นธิดาของพระมหาราชครูอุ่ม คุรุกุล เอาไว้ว่า
“เมื่อสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จะมีพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาปีละ 2 ครั้ง จนตลอดรัชกาล ตามพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน สำหรับฝ่ายในผู้อ่านโองการแช่งน้ำในพระราชพิธีคือ คุณจอมอิ่ม ซึ่งเป็นป้าแท้ๆ ของคุณเยื้อนน้องสะใภ้ของข้าพเจ้าคนนี้ คุณจอมอิ่มขึ้นกับเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ท่านอยู่ในตำหนักเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ทีเดียว คุณจอมอิ่มเวลาทำพิธีอ่านโองการต้องแต่งขาวทั้งตัว แม้แต่ผ้าแพรปักที่สำหรับเกียรติยศของเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ก็ต้องใช้ต่วนขาวปักดิ้นเงินแทนที่จะเป็นสีชมพูตามปกติ เวลานั้นยังไม่นิยมผมยาวกัน คุณจอมอิ่มพราหมณ์จึงไม่มีมวยเช่นพราหมณ์ผู้ชาย พระราชพิธีทำในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ...เมื่อพระมหาราชครูอุ่ม คุรุกุล เสียชีวิตลง และแอบบุตรชายมิได้เข้าพิธีบวชพราหมณ์ หัวหน้าคณะพราหมณ์ในราชสำนักจึงตกแก่พระราชครูพิธีศรีวิสุทธิกุล (สวาท รังสิพราหมณ์กุล) สืบต่อมายังพระราชครูวามเทพมุนี (สมจิตร รังสิพราหมณ์กุล) บุตรชายของพระราชครูพิธีศรีวิสุทธิกุล ต่อมาเมื่อพระราชครูวามเทพมุนี (สมจิตร) ถึงแก่กรรม ในขณะที่บุตรชายยังมิได้เข้าพิธีบวชพราหมณ์ ทางคณะพราหมณ์จึงมีมติเลือกพระราชครูอัษฎาจารย์ (ละเอียด รัตนพราหมณ์) ให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะพราหมณ์ในราชสำนัก และในช่วงเวลาที่พระราชครูอัษฎาจารย์ ดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะพราหมณ์นี้เอง ก็ได้เกิดเรื่องราวความประพฤตินอกรีตนอกรอยของพราหมณ์ สุเทพ พรหมชาติ ที่ทำความเดือดเนื้อร้อนใจและมัวหมองมาสู่คณะพราหมณ์เป็นอันมาก แม้คณะพราหมณ์จะได้บอกกล่าวขอให้พราหมณ์แจ้ง พรหมชาติ พราหมณ์พิธีในราชสำนักผู้เป็นพ่อได้ว่ากล่าวตักเตือนบุตรชายให้เลิกประพฤติตนนอกรีตนอกรอย เพื่อมิให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิถีธรรมแห่งพราหมณ์ อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้รับการตอบสนอง จนกระทั่งพระราชครูอัษฎาจารย์ไม่อาจจะทำสิ่งใดได้ จึงเสนอเรื่องขึ้นไปสู่ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นขอไม่ต่ออายุราชการ การเป็นพราหมณ์ในราชสำนักแก่พราหมณ์แจ้ง พรหมชาติ เป็นเหตุให้พราหมณ์แจ้ง พรหมชาติ ไม่อาจอยู่ในเทวสถานโบสถ์พราหมณ์ได้อีกต่อไป จึงต้องอพยพครอบครัวกลับคืนบ้านเกิดที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช แม้กระนั้นพราหมณ์สุเทพ บุตรชาย ก็มิได้รู้สำนึก หากยังปฏิบัติตนนอกรีตนอกรอยจนกระทั่งถูกผู้อื่นฆ่าตายในที่สุด พราหมณ์แจ้ง พรหมชาติ จึงยังคงมีบุตรชายอีก 2 คน ที่มิได้บวชพราหมณ์ แม้จะมีการกล่าวอ้างว่าที่ จ.นครศรีธรรมราช มีโบสถ์พราหมณ์ แต่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ที่นครศรีธรรมราช ก็ได้กลายเป็นที่ทำการของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาตินครศรีธรรมราชมาเป็นเวลานานแล้ว ถ้าหากมีใครกล่าวอ้างว่าได้บวชพราหมณ์ที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ นครศรีธรรมราช จึงเป็นเรื่องไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพราะการบวชพราหมณ์อย่างถูกต้องตามจารีตประเพณีของพราหมณ์นั้น จะต้องทำพิธีบวชโดยพราหมณ์ผู้ทรงคุณวุฒิที่เป็นที่ยอมรับนับถือตามจารีตประเพณีของพราหมณ์และคณะพราหมณ์ ณ เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ กรุงเทพฯ เท่านั้น
ภายหลังเมื่อพระราชครูอัษฎาจารย์ไม่มีกำลังจะปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าพราหมณ์ในราชสำนักต่อไป เพราะความชราภาพของสังขาร และพราหมณ์ สมบัติ รัตนพราหมณ์ บุตรชาย ก็ยังมีคุณวุฒิน้อยกว่าพราหมณ์ชวิน รังสิพราหมณ์กุล บุตรชายของพระราชครูวามเทพมุนี (สมจิตร รังสิพราหมณ์กุล) คณะพราหมณ์จึงเลือกพราหมณ์ชวิน รังสิพราหมณ์กุล ให้เป็นหัวหน้าคณะพราหมณ์ในราชสำนักว่าที่พระราชครูวามเทพมุนีในปัจจุบัน
เมื่อรู้ความเป็นมาและเรื่องราวต่างๆ ของพราหมณ์ในราชสำนักแล้ว คงจะเป็นที่เข้าใจแล้วว่าลูกพราหมณ์ที่ชื่อศักดิ์ระพี พรหมชาติ ที่มาเป็นผู้ทำพิธีอัปมงคลให้กับคนเสื้อแดงนั้น เป็นผู้สืบเชื้อสายพราหมณ์ที่ไม่ได้เข้าพิธีบวชพราหมณ์ให้ถูกต้องตามขนมธรรมเนียมประเพณีของพราหมณ์แต่อย่างใด อีกทั้งการทำพิธีเทเลือดก็ไม่ใช่พิธีของพราหมณ์ และไม่เคยอยู่ในตำราเล่มใดของพราหมณ์ เพราะพิธีพราหมณ์ที่ถูกต้องแท้จริงนั้นจะเป็นพิธีที่ทำให้เกิดความเป็นสิริมงคลและความอยู่ดีมีสุขที่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมเท่านั้น และที่สำคัญคนที่เกิดในตระกูลพราหมณ์นั้น ถือว่าตนอยู่ในวรรณะที่ใกล้กับวรรณะกษัตริย์ จึงมีความรักนับถือตนเอง มีความภาคภูมิในชาติกำเนิด จะไม่ใฝ่ต่ำทำสิ่งสกปรกอัปมงคลแก่ตนเองและผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชาติบ้านเมืองเป็นอันขาด
ดังนั้น ภาพการทำพิธีเทเลือดอัปมงคลของคนเสื้อแดง และการกระโดดถีบประตูทำเนียบรัฐบาล โดยผู้ที่อ้างว่าตนเองเป็นลูกชายของพราหมณ์อาวุโสในราชสำนักที่มิได้ดำรงตนอยู่ในวิถีธรรมและจารีตประเพณีอันถูกต้องดีงามของพราหมณ์นั้น ได้นำความสะเทือนใจ ความสลดหดหู่และหม่นหมองมาสู่ผู้คนที่อยู่ในตระกูลพราหมณ์ทั้งหลาย ซึ่งดำรงตนอยู่ในวิถีธรรมอันงดงามของพราหมณ์ที่แท้จริงเป็นอย่างยิ่ง