ข้ามไปเนื้อหา

ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เศรษฐศาสตร์จุลภาค"

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
VolkovBot (คุย | ส่วนร่วม)
โรบอต เพิ่ม: scn:Microeconumìa
NotSantisukRBLX (คุย | ส่วนร่วม)
แก้ไขคำผิดจากคำว่า “เศรษฐศาสตร์จุลภาคแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์มหีภาค ที่พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทางเศรษฐกิจในระดับมวลรวม” เป็นคำว่า “เศรษฐศาสตร์จุลภาคแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์มหภาค ที่พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทางเศรษฐกิจในระดับมวลรวม”
ป้ายระบุ: ย้อนด้วยมือ แก้ไขแบบเห็นภาพ แก้ไขด้วยอุปกรณ์เคลื่อนที่ แก้ไขด้วยเว็บอุปกรณ์เคลื่อนที่
 
(ไม่แสดง 85 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้ 43 คน)
บรรทัด 1: บรรทัด 1:
{{เศรษฐศาสตร์}}
{{รอการตรวจสอบ}}
'''เศรษฐศาสตร์จุลภาค''' ({{lang-en|microeconomics}}) เป็นสาขาของ[[เศรษฐศาสตร์]]ซึ่งศึกษาการตัดสินใจในระดับบุคคลหรือองค์กรธุรกิจ และความสัมพันธ์ของการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย<ref name="Palgrave Microeconomics" /><ref name="Tubaro 2015" /> เศรษฐศาสตร์จุลภาคแตกต่างจาก[[เศรษฐศาสตร์มหภาค]] ที่พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทางเศรษฐกิจในระดับมวลรวม เช่น [[ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ|ผลิตภัณฑ์มวลรวม]] [[ภาวะเงินเฟ้อ|อัตราเงินเฟ้อ]] [[การว่างงาน|อัตราการว่างงาน]] เป็นต้น
[[ภาพ:Supply-and-demand.svg|thumb|โมเดล[[อุปสงค์และอุปทาน]]อธิบายการเปลี่ยนแปลงของราคาซึ่งเป็นผลจากสมดุลระหว่างปริมาณสินค้าซึ่งถูกเสนอขายที่ราคาแต่ละราคา (อุปสงค์) และความต้องการซื้อที่ราคาแต่ละราคา (อุปทาน)]]
'''เศรษฐศาสตร์จุลภาค''' เป็น[[เศรษฐศาสตร์]]สาขาหนึ่งซึ่งศึกษาพฤติกรรมและการตัดสินใจของบุคคล ครัวเรือน และบริษัท ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด<ref> {{cite web|url=http://www.ca.uky.edu/agc/pubs/aec/aec75/aec75.htm |title=Macroeconomic and International Policy Terms |accessdate=2007-05-04 |last=Marchant |first=Mary A. |coauthors= Snell, William M. |publisher=University of Kentucky}}</ref> โดยเฉพาะในตลาดซึ่งมีการซื้อขายสินค้าและบริการ เศรษฐศาสตร์จุลภาคศึกษาว่าพฤติกรรมและการตัดสินใจเหล่านี้มีผลกระทบอย่างไรต่อ[[อุปสงค์และอุปทาน]]ของสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นตัวกำหนดราคา และในทางกลับกัน ราคากำหนดอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการอย่างไร<ref name="glossary">{{cite web|title=Economics Glossary|publisher=Monroe County Women's Disability Network|url=http://www.mcwdn.org/ECONOMICS/EcoGlossary.html|accessdate=2008-02-22}}</ref><ref>{{cite web|title=Social Studies Standards Glossary|url=http://web.archive.org/web/20070808200604/http://nmlites.org/standards/socialstudies/glossary.html|accessdate=2008-02-22|publisher=New Mexico Public Education Department}}</ref>


หัวข้อศึกษาหลักข้อหนึ่งของเศรษฐศาสตร์จุลภาคคือการศึกษากลไกการทำงานของ[[ตลาด (เศรษฐศาสตร์)|ตลาด]] ซึ่งกำหนด[[ราคา]]ของสินค้าต่างๆ และจัดสรรสินค้าเหล่านั้นให้กับแต่ละฝ่าย แบบจำลองเศรษฐศาสตร์จุลภาค มีฐานเริ่มต้นเป็นการตัดสินใจของแต่ละผู้บริโภคแต่ละคนที่ต้องการตัดสินใจเพื่อให้ได้รับ[[อรรถประโยชน์]]สูงสุด และองค์กรธุรกิจที่ต้องการ[[กำไร]]สูงสุด แบบจำลองเศรษฐศาสตร์จุลภาค มักมีพื้นฐานเป็นปัญหา[[การหาค่าเหมาะที่สุด]]ทางคณิตศาสตร์
จุดประสงค์หนึ่งของเศรษฐศาสตร์จุลภาคคือการวิเคราะห์กลไก[[ตลาด]]ซึ่งเป็นตัวกำหนด[[ราคา|ราคาเปรียบเทียบ]]ระหว่างสินค้าและบริการ และการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเพื่อใช้ในทางเลือกต่าง ๆ เศรษฐศาสตร์จุลภาคศึกษาเกี่ยวกับ[[ความล้มเหลวของตลาด]] ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กลไกตลาดไม่สามารถทำให้เกิดผลที่มีประสิทธิภาพได้ และยังอธิบายเกี่ยวกับข้อแม้ทางทฤษฎีที่จำเป็นต่อการเกิด[[การแข่งขันสมบูรณ์]] สาขาที่สำคัญในเศรษฐศาสตร์จุลภาค เช่น[[ดุลยภาพทั่วไป]] ตลาดภายใต้[[ความไม่สมมาตรของข้อมูล]] การตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน และการประยุกต์ใช้[[ทฤษฎีเกม]]ในทางเศรษฐศาสตร์


นักเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคเพื่อศึกษาหัวข้อเฉพาะทางต่างๆ เช่น ตลาดแรงงาน สาธารณสุข การศึกษา
==สมมติฐานและนิยาม==
ในทฤษฎี[[อุปสงค์และอุปทาน]]มักตั้งสมมติฐานไว้ว่าตลาดเป็นตลาด[[การแข่งขันสมบูรณ์|แข่งขันสมบูรณ์]] ซึ่งหมายถึงการที่มีผู้ขายและผู้ซื้อในตลาดมากมาย และไม่มีใครสามารถส่งผลให้ราคาของสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงได้ (แต่ในโลกความเป็นจริง สมมติฐานนี้มักไม่เป็นจริงเพราะผู้ซื้อหรือผู้ขายบางคนหรือบางกลุ่มมีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงราคาได้) ในการวิเคราห์ที่ซับซ้อนบางครั้งต้องกำหนดสมการอุปสงค์-อุปทานของสินค้า แต่อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีนี้ใช้อธิบายได้ดีในสถานการณ์ที่ไม่ยุ่งยากเกินไปนัก


== การจำแนกเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค ==
==อ้างอิง==
การจำแนกเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์ออกเป็นเศรษฐศาสตร์จุลภาคและ[[เศรษฐศาสตร์มหภาค]] เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ในปี 1933 [[รากนาร์ ฟริสช์]] เขียนบทความที่กล่าวถึงคำว่า "micro-dynamic" และ "macro-dynamic" ในความหมายที่ใกล้เคียงกับการจำแนกเนื้อหาเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค แนวคิดการแบ่งจุลภาคและมหภาคนั้นได้รับความนิยมมากขึ้นหลังจากที่[[จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์]] ตีพิมพ์ตำรา General Theory of Employment, Interest and Money ในปี 1936 ซึ่งมีการแยกแนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตและการจ้างงานแบบมวลรวม ออกจากทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับตลาดหรือหน่วยธุรกิจย่อยๆ<ref name="Palgrave Microeconomics" /><ref name="Tubaro 2015" /> จากคำอธิบายของ[[ฮาล วาเรียน]] งานเขียนชิ้นแรกที่ใช้คำว่า "microeconomics" โดยตรงคือบทความของ[[ปีเตอร์ เดอ โวล์ฟ]] ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1941<ref name="Palgrave Microeconomics" />
{{รายการอ้างอิง}}


ความแตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์จุลภาคกับเศรษฐศาสตร์มหภาค คือ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคให้ความสำคัญกับการอธิบายพฤติกรรมและความสำคัญระหว่างหน่วยเศรษฐกิจแต่ละหน่วย เช่น ผู้บริโภคแต่ละคน หรือองค์กรธุรกิจแต่ละแห่ง ในขณะที่เศรษฐศาสตร์มหภาคนั้นให้ความสำคัญกับตัวแปรมวลรวมทางเศรษฐกิจ เช่น [[การบริโภค]]มวลรวม [[การลงทุน]] [[การจ้างงาน]] เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างทางระเบียบวิธีทางทฤษฎีระหว่างเศรษฐศาสตร์สองแขนงนี้แคบลงในยุคหลัง จากการที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคเริ่มมีการใช้ "รากฐานแบบจุลภาค" ที่ใช้แบบจำลองพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจแต่ละหน่วยเป็นฐานของแบบจำลองเศรษฐกิจระดับมหภาค<ref name="Palgrave Microeconomics" /> แนวทางรากฐานแบบจุลภาคนี้มีฐานจากงานของ[[รอเบิร์ต ลูคัส จูเนียร์]]ในช่วงทศวรรษ 1970<ref name="Palgrave Macro relations with micro" /><ref name="Palgrave Microfoundations" />
[[หมวดหมู่:เศรษฐศาสตร์จุลภาค| ]]
{{โครงเศรษฐศาสตร์}}


== ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค ==
[[ar:اقتصاد جزئي]]

[[ast:Microeconomía]]
=== ระเบียบวิธีและข้อสมมติพื้นฐาน ===
[[bg:Микроикономика]]

[[bs:Mikroekonomija]]
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคเป็นการจำลองพฤติกรรมของบุคคลหรือองค์กรต่างๆ และศึกษาความสัมพันธ์ของการตัดสินใจเหล่านั้น โดยแต่ละบุคคลเลือกทางเลือกที่ตัวเองต้องการมากที่สุดในบรรดาทางเลือกที่เป็นไปได้ของตัวเอง แบบจำลองทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จึงมีลักษณะเป็น[[การหาค่าเหมาะที่สุด]]ทางคณิตศาสตร์<ref name="Palgrave Microeconomics" /> (แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคอาจถือเอาว่าองค์กรธุรกิจแต่ละหน่วยเปรียบเสมือนมีผู้ตัดสินใจหนึ่งคน <ref name="Shubik 1970" />) แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคจึงประกอบไปด้วยการระบุผู้ตัดสินใจ ทางเลือกที่ทำได้ และวัตถุประสงค์ของผู้ตัดสินใจ วัตถุประสงค์ของผู้ตัดสินใจนี้ มักจะเป็นการทำกำไรสูงสุด ในกรณีขององค์กรธุรกิจ หรือ[[อรรถประโยชน์]]สูงสุด ในกรณีของปัจเจกบุคคล<ref name="Palgrave Microeconomics" />
[[ca:Microeconomia]]

[[cs:Mikroekonomie]]
=== อุปสงค์และอุปทานในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ===
[[da:Mikroøkonomi]]
[[ไฟล์:Supply-demand-equilibrium-th.svg|thumb|แผนภูมิเส้นแสดงอุปสงค์และอุปทานที่พบเห็นทั่วไป ให้แกนตั้งแสดงราคาและแกนนอนแสดงปริมาณสินค้า เส้นอุปสงค์ (สีแดง) มีลักษณะลาดลง ในขณะที่เส้นอุปทาน (สีน้ำเงิน) ชันขึ้น จุดตัดของเส้นอุปสงค์และเส้นอุปทาน เป็นจุดดุลยภาพของตลาด ที่ราคาดุลยภาพ P* และปริมาณดุลยภาพ Q*]]
[[de:Mikroökonomie]]
แบบจำลองว่าด้วย[[ตลาดแข่งขันสมบูรณ์]] ตั้งข้อสมมติว่าผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าทราบราคาสินค้าต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ แล้วเลือกปริมาณการบริโภคหรือการผลิตของตนเองเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด โดยที่ผู้ซื้อหรือผู้ผลิตแต่ละรายไม่ได้พิจารณาว่าปริมาณการซื้อหรือขายของตัวเองมีผลเปลี่ยนแปลงราคาตลาดได้ การตัดสินใจของผู้ซื้อและผู้ขายเขียนออกมาได้ในรูปแบบของฟังก์ชัน[[อุปสงค์และอุปทาน]] ที่ระบุปริมาณความต้องการซื้อหรือความต้องการขายที่ราคาแต่ละระดับ
[[el:Μικροοικονομία]]

[[en:Microeconomics]]
[[กฎอุปสงค์]]ระบุว่า ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นแล้ว ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิดนั้นจะลดลง ในขณะที่[[กฎอุปทาน]]ระบุว่า ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นแล้ว ปริมาณความต้องการขายสินค้านั้นจะเพิ่มขึ้น ตลาดอยู่ในภาวะสมดุล ถ้าราคาสินค้าในระบบเศรษฐกิจนั้น ทำให้ปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานของสินค้าแต่ละชนิดเท่ากัน
[[eo:Mikroekonomiko]]

[[es:Microeconomía]]
[[ทฤษฎีบทมูลฐานของเศรษฐศาสตร์สวัสดิการ]]ข้อที่หนึ่ง พิสูจน์ว่า การจัดสรรทรัพยากรในจุดสมดุลแบบแข่งขันสมบูรณ์ มี[[ประสิทธิภาพแบบปาเรโต]] นั่นคือ ไม่มีการจัดสรรทรัพยากรในทางอื่นที่สามารถทำให้บุคคลหนึ่งพึงพอใจมากขึ้นโดยไม่ทำให้อีกคนหนึ่งพึงพอใจน้อยลงได้
[[et:Mikroökonoomika]]

[[eu:Mikroekonomia]]
=== ทฤษฎีผู้บริโภคและทฤษฎีผู้ผลิต ===
[[fa:اقتصاد خرد]]

[[fi:Mikrotaloustiede]]
แบบจำลองอุปสงค์และอุปทาน มีที่มาจากจำลองการตัดสินใจของผู้บริโภคและผู้ผลิตในลักษณะของการหาค่าที่เหมาะที่สุดทางคณิตศาสตร์ เรียกว่าทฤษฎีผู้บริโภคและทฤษฎีผู้ผลิต
[[fr:Microéconomie]]

[[he:מיקרו-כלכלה]]
ในทฤษฎีผู้บริโภค ข้อสมมติตั้งต้นคือผู้บริโภคแต่ละคนในระบบเศรษฐกิจสามารถจัดลำดับความพึงพอใจกับการบริโภคสินค้าในแต่ละรูปแบบ ดังนั้นผู้บริโภคแต่ละคนจะเลือกปริมาณสินค้าแต่ละชนิดที่ต้องการบริโภคเพื่อที่จะให้ได้ความพึงพอใจสูงสุดภายใต้งบประมาณของตัวเอง เราจึงสามารถเขียนปริมาณความต้องการซื้อได้ออกมาเป็นฟังก์ชันของราคา
[[hu:Mikroökonómia]]

[[id:Ekonomi mikro]]
ทฤษฎีผู้ผลิต ตั้งข้อสมมติว่าผู้ผลิตแต่ละรายมีสามารถแปลงปัจจัยการผลิตเป็นผลผลิตด้วยเทคโนโลยีบางอย่าง ผู้ผลิตแต่ละรายทราบราคาสินค้าในตลาดและเลือกผลิตภายใต้เทคโนโลยีของตัวเองให้ได้กำไรสูงสุด
[[is:Rekstrarhagfræði]]

[[it:Microeconomia]]
แต่เดิมที นักเศรษฐศาสตร์ในยุคคลาสสิกในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ให้เหตุผลสนับสนุนกฎอุปสงค์ด้วยข้อสมมติที่เคร่งครัดกว่าที่ใช้ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคในยุคหลัง โดยตั้งข้อสมมติว่ามนุษย์วัดความสุขและความทุกข์ได้ในรูปของ[[อรรถประโยชน์]]ที่สามารถวัดและเปรียบเทียบกันได้ตามพื้นฐานปรัชญาแบบ[[อรรถประโยชน์นิยม]] ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคในยุคหลังได้ลดทอนข้อสมมติเรื่องอรรถประโยชน์นี้ลง โดยสามารถตั้ง[[สัจพจน์]]พื้นฐานที่มีลักษณะทั่วไปกว่า ที่ยังคงให้ผลลัพธ์ในลักษณะของฟังก์ชันอรรถประโยชน์และกฎอุปสงค์ได้<ref name="Jehle-Rehny" />
[[ja:ミクロ経済学]]

[[ka:მიკროეკონომიკა]]
=== การแข่งขันไม่สมบูรณ์ ===
[[ko:미시경제학]]

[[li:Mikro-ikkenemie]]
ในแบบจำลองการแข่งขันสมบูรณ์ ผู้ซื้อและผู้ขายแต่ละรายตัดสินใจโดยที่คิดว่าลำพังพฤติกรรมการซื้อหรือขายสินค้าของตัวเอง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงราคาในตลาดได้ การตัดสินใจของแต่ละคนนั้นจึงมีลักษณะเป็นปัญหาการหาค่าที่เหมาะที่สุดโดยที่มีราคาเป็นปัจจัยภายนอก หากว่าผู้ขายหรือผู้ซื้อเลือกพฤติกรรมของตัวเองโดยที่คำนึงถึงว่าพฤติกรรมของตัวเองจะมีผลเปลี่ยนแปลงราคาได้โดยตรง ผลลัพธ์ของตลาดก็จะแตกต่างจากการแข่งขันสมบูรณ์ ตัวอย่างแบบจำลองประเภทนี้ได้แก่ [[ตลาดผูกขาด]] [[ตลาดผู้ขายน้อยราย]] เป็นต้น สาขา[[เศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม]]เป็นสาขาที่เจาะจงศึกษารูปแบบการแข่งขันไม่สมบูรณ์แบบต่างๆ
[[lo:ເສດຖະສາດຈຸນລະພາກ]]

[[lt:Mikroekonomika]]
=== ผลกระทบภายนอก ===
[[lv:Mikroekonomika]]

[[mk:Микроекономија]]
ในแบบจำลองการแข่งขันสมบูรณ์ การผลิตหรือบริโภคสินค้าของแต่ละคน ไม่ส่งผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของคนอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ นอกเหนือจากผลผ่านการเปลี่ยนแปลงของราคาสมดุลในตลาด [[ผลกระทบภายนอก]] เป็นแนวคิดที่จำลองผลที่การผลิตหรือบริโภคของคนหนึ่ง ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของคนอื่นโดยตรง เช่น การก่อ[[มลภาวะ]]ที่ผู้ผลิตสินค้าไม่ได้พิจารณาต้นทุนที่เกิดขึ้นต่อคนอื่น ผลกระทบภายนอกนี้สามารถเป็นทั้งผลดีและผลเสีย หากว่าการผลิตหรือบริโภคสินค้าหนึ่งส่งผลกระทบภายนอกต่อคนอื่นที่ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจการผลิตหรือการบริโภคนั้น การผลิตและบริโภคในจุดสมดุลก็จะไม่มีประสิทธิภาพแบบปาเรโต
[[mn:Микро эдийн засаг]]

[[nl:Micro-economie]]
=== สารสนเทศไม่สมมาตร ===
[[nn:Mikroøkonomi]]

[[no:Mikroøkonomi]]
หากว่าผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดมี[[สารสนเทศอสมมาตร|สารสนเทศไม่เท่าเทียมกัน]] ผลลัพธ์ในตลาดนั้นๆ อาจแตกต่างจากผลลัพธ์ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ซึ่งทำให้การจัดสรรทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพแบบปาเรโต
[[pl:Mikroekonomia]]

[[pt:Microeconomia]]
ตัวอย่างหนึ่งของปัญหาสารสนเทศไม่สมมาตรคือ[[การคัดเลือกที่ขัดผลประโยชน์]] ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่บุคคลฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทราบลักษณะที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ เช่น ผู้ซื้อสินค้ามือสองไม่ทราบคุณภาพสินค้าที่แท้จริงเท่ากับเจ้าของเดิม หรือผู้รับประกันภัยไม่ทราบความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้เอาประกันมากเท่ากันตัวผู้เอาประกัน ในกรณีของสินค้ามือสอง ผู้ซื้อไม่ทราบคุณภาพที่แท้จริงของสินค้าแต่ละชิ้น ราคาตลาดที่ผู้ซื้อยินดีจ่ายจึงเป็นราคาที่คาดการณ์เผื่อว่าสินค้าที่ได้รับเป็นสินค้าคุณภาพต่ำ ซึ่งต่ำกว่าราคาที่ผู้ซื้อยินดีจ่ายถ้ามั่นใจว่าสินค้าที่ได้รับมีคุณภาพสูง แต่ราคาตลาดนี้ทำให้เจ้าของสินค้าเดิมที่ทราบว่าสินค้าตัวเองมีคุณภาพต่ำ ยินดีที่จะขายมากกว่าเจ้าของสินค้าคุณภาพสูง ทำให้มีสินค้าคุณภาพต่ำมาขายมากกว่าคุณภาพสูง สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพแบบปาเรโต เพราะผู้ซื้อยินดีซื้อสินค้าคุณภาพสูงที่ผู้ขายยินดีขาย แต่การซื้อขายนี้ไม่เกิดขึ้นเนื่องจากสารสนเทศที่ไม่สมมาตร<ref name="Varian intermediate" />
[[ro:Microeconomie]]

[[ru:Микроэкономика]]
== ประยุกต์ ==
[[scn:Microeconumìa]]

[[sh:Mikroekonomija]]
เศรษฐศาสตร์จุลภาคประยุกต์ ({{lang-en|Applied Microeconomics}}) เป็นคำเรียกรวมๆ ที่หมายถึงการนำหลักเศรษฐศาสตร์จุลภาคมาประยุกต์เพื่อศึกษาหัวข้อเป็นการเฉพาะเจาะจง เช่น [[เศรษฐศาสตร์แรงงาน]] [[เศรษฐศาสตร์สุขภาพ]] [[เศรษฐศาสตร์การศึกษา]] [[เศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม]] [[นิติเศรษฐศาสตร์]] เป็นต้น การศึกษาในหัวข้อเหล่านี้มักนำแนวคิดพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์จุลภาค เช่น กลไกราคา อุปสงค์และอุปทาน มาศึกษาหัวข้อเจาะจงทั้งในเชิงทฤษฎีและ[[การศึกษาเชิงประจักษฺ์|เชิงประจักษ์]]
[[simple:Microeconomics]]

[[sk:Mikroekonómia]]
== อ้างอิง ==
[[sl:Mikroekonomija]]
{{รายการอ้างอิง|refs=
[[sq:Mikroekonomia]]
<ref name="Palgrave Microeconomics">{{Cite encyclopedia |publisher = Palgrave Macmillan |isbn = 978-1-349-95121-5 |last = Varian |first = Hal R. |title = Microeconomics |encyclopedia = New Palgrave dictionary of economics |location = London |date = 1987 | doi=10.1057/978-1-349-95121-5_1212-1}}</ref>
[[sr:Микроекономија]]
<ref name="Palgrave Microfoundations">{{Cite encyclopedia |publisher = Palgrave Macmillan |isbn = 978-1-349-95121-5 |last = Janssen |first = Maarten C. W. |title = Microfoundations |encyclopedia = New Palgrave dictionary of economics |location = London |date = 2008 |doi=10.1057/978-1-349-95121-5_2707-1}}</ref>
[[sv:Mikroekonomi]]
<ref name="Palgrave Macro relations with micro">{{Cite encyclopedia |publisher = Palgrave Macmillan |isbn = 978-1-349-95121-5 |last = Howitt |first = Peter |title = Macroeconomics: Relations with microeconomics |encyclopedia = New Palgrave dictionary of economics |location = London |date = 1987 |doi=10.1057/978-1-349-95121-5_691-1}}</ref>
[[ta:சிற்றினப்பொருளியல்]]
<ref name="Tubaro 2015">{{Cite encyclopedia |edition = 2 |publisher = Elsevier |isbn = 978-0-08-097087-5 |pages = 331–337 |editor-last = Wright |editor-first = James D. |last = Tubaro |first = Paola |title = Microeconomics, History of |encyclopedia = International encyclopedia of the social & behavioral sciences |location = Oxford |date = 2015}}</ref>
[[te:సూక్ష్మ అర్థ శాస్త్రము]]
<ref name="Shubik 1970">{{Cite journal| issn = 0022-0515| volume = 8| issue = 2| pages = 405–434| last = Shubik| first = Martin| title = A curmudgeon's guide to microeconomics| journal = Journal of Economic Literature| date = 1970| jstor = 2720472}}</ref>
[[tr:Mikroekonomi]]
<ref name="Varian intermediate">{{cite book |last=Varian |first=Hal |date=2014 |title=Intermediate microeconomics: A modern approach |edition=9 |publisher=W. W. Norton & Company |isbn= 978-0-393-12396-8 }}</ref>
[[uk:Мікроекономіка]]
<ref name="Jehle-Rehny">{{cite book |last1=Jehle |first1=Geoffrey A. |last2=Reny |first2=Philip J. |date=2011 |title=Advanced microeconomic theory |publisher=Pearson |isbn=978-0-273-73191-7}}</ref>
[[ur:جزیاتی معاشیات]]
}}
[[vi:Kinh tế học vi mô]]
[[หมวดหมู่:เศรษฐศาสตร์จุลภาค| ]]
[[zh:微观经济学]]

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 18:37, 10 มกราคม 2567

เศรษฐศาสตร์จุลภาค (อังกฤษ: microeconomics) เป็นสาขาของเศรษฐศาสตร์ซึ่งศึกษาการตัดสินใจในระดับบุคคลหรือองค์กรธุรกิจ และความสัมพันธ์ของการตัดสินใจของแต่ละฝ่าย[1][2] เศรษฐศาสตร์จุลภาคแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์มหภาค ที่พิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทางเศรษฐกิจในระดับมวลรวม เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวม อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน เป็นต้น

หัวข้อศึกษาหลักข้อหนึ่งของเศรษฐศาสตร์จุลภาคคือการศึกษากลไกการทำงานของตลาด ซึ่งกำหนดราคาของสินค้าต่างๆ และจัดสรรสินค้าเหล่านั้นให้กับแต่ละฝ่าย แบบจำลองเศรษฐศาสตร์จุลภาค มีฐานเริ่มต้นเป็นการตัดสินใจของแต่ละผู้บริโภคแต่ละคนที่ต้องการตัดสินใจเพื่อให้ได้รับอรรถประโยชน์สูงสุด และองค์กรธุรกิจที่ต้องการกำไรสูงสุด แบบจำลองเศรษฐศาสตร์จุลภาค มักมีพื้นฐานเป็นปัญหาการหาค่าเหมาะที่สุดทางคณิตศาสตร์

นักเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคเพื่อศึกษาหัวข้อเฉพาะทางต่างๆ เช่น ตลาดแรงงาน สาธารณสุข การศึกษา

การจำแนกเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค

[แก้]

การจำแนกเนื้อหาวิชาเศรษฐศาสตร์ออกเป็นเศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 ในปี 1933 รากนาร์ ฟริสช์ เขียนบทความที่กล่าวถึงคำว่า "micro-dynamic" และ "macro-dynamic" ในความหมายที่ใกล้เคียงกับการจำแนกเนื้อหาเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค แนวคิดการแบ่งจุลภาคและมหภาคนั้นได้รับความนิยมมากขึ้นหลังจากที่จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ตีพิมพ์ตำรา General Theory of Employment, Interest and Money ในปี 1936 ซึ่งมีการแยกแนวคิดทางทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตและการจ้างงานแบบมวลรวม ออกจากทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับตลาดหรือหน่วยธุรกิจย่อยๆ[1][2] จากคำอธิบายของฮาล วาเรียน งานเขียนชิ้นแรกที่ใช้คำว่า "microeconomics" โดยตรงคือบทความของปีเตอร์ เดอ โวล์ฟ ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1941[1]

ความแตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์จุลภาคกับเศรษฐศาสตร์มหภาค คือ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคให้ความสำคัญกับการอธิบายพฤติกรรมและความสำคัญระหว่างหน่วยเศรษฐกิจแต่ละหน่วย เช่น ผู้บริโภคแต่ละคน หรือองค์กรธุรกิจแต่ละแห่ง ในขณะที่เศรษฐศาสตร์มหภาคนั้นให้ความสำคัญกับตัวแปรมวลรวมทางเศรษฐกิจ เช่น การบริโภคมวลรวม การลงทุน การจ้างงาน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างทางระเบียบวิธีทางทฤษฎีระหว่างเศรษฐศาสตร์สองแขนงนี้แคบลงในยุคหลัง จากการที่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคเริ่มมีการใช้ "รากฐานแบบจุลภาค" ที่ใช้แบบจำลองพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจแต่ละหน่วยเป็นฐานของแบบจำลองเศรษฐกิจระดับมหภาค[1] แนวทางรากฐานแบบจุลภาคนี้มีฐานจากงานของรอเบิร์ต ลูคัส จูเนียร์ในช่วงทศวรรษ 1970[3][4]

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาค

[แก้]

ระเบียบวิธีและข้อสมมติพื้นฐาน

[แก้]

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคเป็นการจำลองพฤติกรรมของบุคคลหรือองค์กรต่างๆ และศึกษาความสัมพันธ์ของการตัดสินใจเหล่านั้น โดยแต่ละบุคคลเลือกทางเลือกที่ตัวเองต้องการมากที่สุดในบรรดาทางเลือกที่เป็นไปได้ของตัวเอง แบบจำลองทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จึงมีลักษณะเป็นการหาค่าเหมาะที่สุดทางคณิตศาสตร์[1] (แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคอาจถือเอาว่าองค์กรธุรกิจแต่ละหน่วยเปรียบเสมือนมีผู้ตัดสินใจหนึ่งคน [5]) แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์จุลภาคจึงประกอบไปด้วยการระบุผู้ตัดสินใจ ทางเลือกที่ทำได้ และวัตถุประสงค์ของผู้ตัดสินใจ วัตถุประสงค์ของผู้ตัดสินใจนี้ มักจะเป็นการทำกำไรสูงสุด ในกรณีขององค์กรธุรกิจ หรืออรรถประโยชน์สูงสุด ในกรณีของปัจเจกบุคคล[1]

อุปสงค์และอุปทานในตลาดแข่งขันสมบูรณ์

[แก้]
แผนภูมิเส้นแสดงอุปสงค์และอุปทานที่พบเห็นทั่วไป ให้แกนตั้งแสดงราคาและแกนนอนแสดงปริมาณสินค้า เส้นอุปสงค์ (สีแดง) มีลักษณะลาดลง ในขณะที่เส้นอุปทาน (สีน้ำเงิน) ชันขึ้น จุดตัดของเส้นอุปสงค์และเส้นอุปทาน เป็นจุดดุลยภาพของตลาด ที่ราคาดุลยภาพ P* และปริมาณดุลยภาพ Q*

แบบจำลองว่าด้วยตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ตั้งข้อสมมติว่าผู้ซื้อและผู้ขายสินค้าทราบราคาสินค้าต่างๆ ในระบบเศรษฐกิจ แล้วเลือกปริมาณการบริโภคหรือการผลิตของตนเองเพื่อให้ตัวเองได้ประโยชน์สูงสุด โดยที่ผู้ซื้อหรือผู้ผลิตแต่ละรายไม่ได้พิจารณาว่าปริมาณการซื้อหรือขายของตัวเองมีผลเปลี่ยนแปลงราคาตลาดได้ การตัดสินใจของผู้ซื้อและผู้ขายเขียนออกมาได้ในรูปแบบของฟังก์ชันอุปสงค์และอุปทาน ที่ระบุปริมาณความต้องการซื้อหรือความต้องการขายที่ราคาแต่ละระดับ

กฎอุปสงค์ระบุว่า ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นแล้ว ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าชนิดนั้นจะลดลง ในขณะที่กฎอุปทานระบุว่า ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นแล้ว ปริมาณความต้องการขายสินค้านั้นจะเพิ่มขึ้น ตลาดอยู่ในภาวะสมดุล ถ้าราคาสินค้าในระบบเศรษฐกิจนั้น ทำให้ปริมาณอุปสงค์และปริมาณอุปทานของสินค้าแต่ละชนิดเท่ากัน

ทฤษฎีบทมูลฐานของเศรษฐศาสตร์สวัสดิการข้อที่หนึ่ง พิสูจน์ว่า การจัดสรรทรัพยากรในจุดสมดุลแบบแข่งขันสมบูรณ์ มีประสิทธิภาพแบบปาเรโต นั่นคือ ไม่มีการจัดสรรทรัพยากรในทางอื่นที่สามารถทำให้บุคคลหนึ่งพึงพอใจมากขึ้นโดยไม่ทำให้อีกคนหนึ่งพึงพอใจน้อยลงได้

ทฤษฎีผู้บริโภคและทฤษฎีผู้ผลิต

[แก้]

แบบจำลองอุปสงค์และอุปทาน มีที่มาจากจำลองการตัดสินใจของผู้บริโภคและผู้ผลิตในลักษณะของการหาค่าที่เหมาะที่สุดทางคณิตศาสตร์ เรียกว่าทฤษฎีผู้บริโภคและทฤษฎีผู้ผลิต

ในทฤษฎีผู้บริโภค ข้อสมมติตั้งต้นคือผู้บริโภคแต่ละคนในระบบเศรษฐกิจสามารถจัดลำดับความพึงพอใจกับการบริโภคสินค้าในแต่ละรูปแบบ ดังนั้นผู้บริโภคแต่ละคนจะเลือกปริมาณสินค้าแต่ละชนิดที่ต้องการบริโภคเพื่อที่จะให้ได้ความพึงพอใจสูงสุดภายใต้งบประมาณของตัวเอง เราจึงสามารถเขียนปริมาณความต้องการซื้อได้ออกมาเป็นฟังก์ชันของราคา

ทฤษฎีผู้ผลิต ตั้งข้อสมมติว่าผู้ผลิตแต่ละรายมีสามารถแปลงปัจจัยการผลิตเป็นผลผลิตด้วยเทคโนโลยีบางอย่าง ผู้ผลิตแต่ละรายทราบราคาสินค้าในตลาดและเลือกผลิตภายใต้เทคโนโลยีของตัวเองให้ได้กำไรสูงสุด

แต่เดิมที นักเศรษฐศาสตร์ในยุคคลาสสิกในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ให้เหตุผลสนับสนุนกฎอุปสงค์ด้วยข้อสมมติที่เคร่งครัดกว่าที่ใช้ในทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคในยุคหลัง โดยตั้งข้อสมมติว่ามนุษย์วัดความสุขและความทุกข์ได้ในรูปของอรรถประโยชน์ที่สามารถวัดและเปรียบเทียบกันได้ตามพื้นฐานปรัชญาแบบอรรถประโยชน์นิยม ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จุลภาคในยุคหลังได้ลดทอนข้อสมมติเรื่องอรรถประโยชน์นี้ลง โดยสามารถตั้งสัจพจน์พื้นฐานที่มีลักษณะทั่วไปกว่า ที่ยังคงให้ผลลัพธ์ในลักษณะของฟังก์ชันอรรถประโยชน์และกฎอุปสงค์ได้[6]

การแข่งขันไม่สมบูรณ์

[แก้]

ในแบบจำลองการแข่งขันสมบูรณ์ ผู้ซื้อและผู้ขายแต่ละรายตัดสินใจโดยที่คิดว่าลำพังพฤติกรรมการซื้อหรือขายสินค้าของตัวเอง ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงราคาในตลาดได้ การตัดสินใจของแต่ละคนนั้นจึงมีลักษณะเป็นปัญหาการหาค่าที่เหมาะที่สุดโดยที่มีราคาเป็นปัจจัยภายนอก หากว่าผู้ขายหรือผู้ซื้อเลือกพฤติกรรมของตัวเองโดยที่คำนึงถึงว่าพฤติกรรมของตัวเองจะมีผลเปลี่ยนแปลงราคาได้โดยตรง ผลลัพธ์ของตลาดก็จะแตกต่างจากการแข่งขันสมบูรณ์ ตัวอย่างแบบจำลองประเภทนี้ได้แก่ ตลาดผูกขาด ตลาดผู้ขายน้อยราย เป็นต้น สาขาเศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรมเป็นสาขาที่เจาะจงศึกษารูปแบบการแข่งขันไม่สมบูรณ์แบบต่างๆ

ผลกระทบภายนอก

[แก้]

ในแบบจำลองการแข่งขันสมบูรณ์ การผลิตหรือบริโภคสินค้าของแต่ละคน ไม่ส่งผลโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของคนอื่นๆ ในระบบเศรษฐกิจ นอกเหนือจากผลผ่านการเปลี่ยนแปลงของราคาสมดุลในตลาด ผลกระทบภายนอก เป็นแนวคิดที่จำลองผลที่การผลิตหรือบริโภคของคนหนึ่ง ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของคนอื่นโดยตรง เช่น การก่อมลภาวะที่ผู้ผลิตสินค้าไม่ได้พิจารณาต้นทุนที่เกิดขึ้นต่อคนอื่น ผลกระทบภายนอกนี้สามารถเป็นทั้งผลดีและผลเสีย หากว่าการผลิตหรือบริโภคสินค้าหนึ่งส่งผลกระทบภายนอกต่อคนอื่นที่ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจการผลิตหรือการบริโภคนั้น การผลิตและบริโภคในจุดสมดุลก็จะไม่มีประสิทธิภาพแบบปาเรโต

สารสนเทศไม่สมมาตร

[แก้]

หากว่าผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดมีสารสนเทศไม่เท่าเทียมกัน ผลลัพธ์ในตลาดนั้นๆ อาจแตกต่างจากผลลัพธ์ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ซึ่งทำให้การจัดสรรทรัพยากรไม่มีประสิทธิภาพแบบปาเรโต

ตัวอย่างหนึ่งของปัญหาสารสนเทศไม่สมมาตรคือการคัดเลือกที่ขัดผลประโยชน์ ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่บุคคลฝ่ายหนึ่งไม่สามารถทราบลักษณะที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ เช่น ผู้ซื้อสินค้ามือสองไม่ทราบคุณภาพสินค้าที่แท้จริงเท่ากับเจ้าของเดิม หรือผู้รับประกันภัยไม่ทราบความเสี่ยงที่แท้จริงของผู้เอาประกันมากเท่ากันตัวผู้เอาประกัน ในกรณีของสินค้ามือสอง ผู้ซื้อไม่ทราบคุณภาพที่แท้จริงของสินค้าแต่ละชิ้น ราคาตลาดที่ผู้ซื้อยินดีจ่ายจึงเป็นราคาที่คาดการณ์เผื่อว่าสินค้าที่ได้รับเป็นสินค้าคุณภาพต่ำ ซึ่งต่ำกว่าราคาที่ผู้ซื้อยินดีจ่ายถ้ามั่นใจว่าสินค้าที่ได้รับมีคุณภาพสูง แต่ราคาตลาดนี้ทำให้เจ้าของสินค้าเดิมที่ทราบว่าสินค้าตัวเองมีคุณภาพต่ำ ยินดีที่จะขายมากกว่าเจ้าของสินค้าคุณภาพสูง ทำให้มีสินค้าคุณภาพต่ำมาขายมากกว่าคุณภาพสูง สถานการณ์นี้ทำให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพแบบปาเรโต เพราะผู้ซื้อยินดีซื้อสินค้าคุณภาพสูงที่ผู้ขายยินดีขาย แต่การซื้อขายนี้ไม่เกิดขึ้นเนื่องจากสารสนเทศที่ไม่สมมาตร[7]

ประยุกต์

[แก้]

เศรษฐศาสตร์จุลภาคประยุกต์ (อังกฤษ: Applied Microeconomics) เป็นคำเรียกรวมๆ ที่หมายถึงการนำหลักเศรษฐศาสตร์จุลภาคมาประยุกต์เพื่อศึกษาหัวข้อเป็นการเฉพาะเจาะจง เช่น เศรษฐศาสตร์แรงงาน เศรษฐศาสตร์สุขภาพ เศรษฐศาสตร์การศึกษา เศรษฐศาสตร์อุตสาหกรรม นิติเศรษฐศาสตร์ เป็นต้น การศึกษาในหัวข้อเหล่านี้มักนำแนวคิดพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์จุลภาค เช่น กลไกราคา อุปสงค์และอุปทาน มาศึกษาหัวข้อเจาะจงทั้งในเชิงทฤษฎีและเชิงประจักษ์

อ้างอิง

[แก้]
  1. 1.0 1.1 1.2 1.3 1.4 1.5 Varian, Hal R. (1987). "Microeconomics". New Palgrave dictionary of economics. London: Palgrave Macmillan. doi:10.1057/978-1-349-95121-5_1212-1. ISBN 978-1-349-95121-5.
  2. 2.0 2.1 Tubaro, Paola (2015). "Microeconomics, History of". ใน Wright, James D. (บ.ก.). International encyclopedia of the social & behavioral sciences (2 ed.). Oxford: Elsevier. pp. 331–337. ISBN 978-0-08-097087-5.
  3. Howitt, Peter (1987). "Macroeconomics: Relations with microeconomics". New Palgrave dictionary of economics. London: Palgrave Macmillan. doi:10.1057/978-1-349-95121-5_691-1. ISBN 978-1-349-95121-5.
  4. Janssen, Maarten C. W. (2008). "Microfoundations". New Palgrave dictionary of economics. London: Palgrave Macmillan. doi:10.1057/978-1-349-95121-5_2707-1. ISBN 978-1-349-95121-5.
  5. Shubik, Martin (1970). "A curmudgeon's guide to microeconomics". Journal of Economic Literature. 8 (2): 405–434. ISSN 0022-0515. JSTOR 2720472.
  6. Jehle, Geoffrey A.; Reny, Philip J. (2011). Advanced microeconomic theory. Pearson. ISBN 978-0-273-73191-7.
  7. Varian, Hal (2014). Intermediate microeconomics: A modern approach (9 ed.). W. W. Norton & Company. ISBN 978-0-393-12396-8.