ข้ามไปเนื้อหา

ขอม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
"ขอม" คำไทดั้งเดิม ในตระกูล ไทกะได

ขอม (Khom) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามหมายถึง เขมรโบราณ[1] กลุ่มชาวขอมกลุ่มหนึ่งที่อยู่บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาดินแดนสุวรรณภูมิ นับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน เช่น แคว้นโยนก แคว้นสุโขทัย แคว้นอโยธยาเดิม (อู่ทอง ลวปุระ อโยชชะปุระ นครปฐม) และลุ่มแม่น้ำมูล (ดินแดนอีสาน) เอกสารทางล้านนา เช่น จารึกและตำนานต่าง ๆ ล้วนระบุสอดคล้องกันว่าขอมคือพวกที่อยู่ทางใต้ของล้านนา(ในสมัยอาณาจักรสุโขทัย) พวกนี้ตัดผมเกรียน และนุ่งโจงกระเบน กินข้าวเจ้า ฯลฯ แคว้นละโว้นับถือทั้งฮินดูและพุทธมหายาน อาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยเขียนอธิบายไว้ว่า ขอมเป็นพวกนับถือฮินดูหรือพุทธมหายาน ใครเข้ารีตเป็นฮินดู หรือพุทธมหายาน เป็นได้ชื่อว่า ขอม ทั้งหมด ขอมไม่ใช่ชื่อเชื้อชาติ เพราะไม่มีเชื้อชาติขอม แต่เป็นชื่อทางวัฒนธรรม เช่นเดียวกับ สยาม

นักวิชาการประวัติศาสตร์หลายคน เช่น ชาญวิทย์ เกษตรสิริ, ประเสริฐ ณ นคร, ไมเคิล ไรท์ และ สุจิตต์ วงษ์เทศ เห็นว่าขอมกับละโว้คือคนกลุ่มเดียวกัน[2][3]

ศัพทมูลวิทยา

[แก้]

รากศัพท์

[แก้]

อภิธานศัพท์มอญทวารวดีและญัฮกุร โดยเจราด ดีฟโฟลท์ (Gérard Diffloth [en]) บัญญัติรากศัพท์เดิมของคำ ขอม (khom) ในภาษาไทยมาจากคำว่า *krɔɔm[4] ในภาษามอญโบราณสมัยทวารวดีและภาษาญัฮกุร[4] หมายถึง ทางใต้ ล่าง ต่ำ ส่วนใต้ของ...(บ้าน ถิ่นฐาน ฯลฯ)[4] แผลงเป็นคำ *krɔɔm*kǝrɔɔm, *kǝnrɔɔm, *k-n-rɔɔm ในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกแล้วกระจายสู่ตระกูลภาษาอื่นโดยเป็นทั้งคำนาม คำกริยา และคำบุพบท ดังนี้[4]

คำขอมในภาษาไทย

[แก้]
คำ "ขอม" เก่าที่สุด พบในจารึกวัดศรีชุม หลักที่ 2 อายุราว พ.ศ. 1912 สมัยสุโขทัย (ภาพวาดจำลองจากภาพจริง)

คำ ขอม (Khom) เป็นคำไทใต้[8][9] คำไทลื้อ[10] หรือคำไทเดิม คำ "ขอม" ไม่ใช่ภาษาเขมร[11] และไม่ได้แปลว่าเขมร[12] เพราะไม่ปรากฏคำว่า "ขอม" ในจารึกเขมรโบราณ[13] ดังนั้น ขอมและชาวเขมรในปัจจุบันเป็นคนละกลุ่มกัน ไม่ได้มีความเชื่อมต่อกัน

ความหมายเดิมของคําว่า ขอม เดิมพวกไทใช้เรียกพวกละว้า (ลัวะ) ดังปรากฏใน พงศาวดารโยนก ว่า พวกกล่อม หรือขอมดํา ต่อมาพวกเขมรเมืองนครธมได้ขยายอาณาเขตเข้ามาปกครองในแถบลุ่มน้ำเจ้าพระยารวมทั้งได้ปกครองพวกกล่อม (ขอมดํา) ด้วย จึงทําให้คนไทยเรียกสับสนกล่าวคือ เรียกพวกเขมรว่าเป็นพวกขอมไปด้วยจึงมีปัญหาแยกกันไม่ออกระหว่างขอมกับเขมร[14]

ดังนั้น คำ "ขอม" คนไทยและคนลาวใช้เรียก ผู้คน ชาติ ปราสาท ตัวอักษร ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมที่มีอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมิที่พบในพื้นที่ประเทศไทย ประเทศลาว และประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน คำ "ขอม" จึงไม่ใช่ชื่อชนชาติใดชนชาติหนึ่ง[15]

คำขอมในภาษาอื่น

[แก้]

คำขอมในภาษาอื่นที่มีความหมายเดียวกัน มีดังนี้

  • ภาษามอญโบราณเรียกชาวขอมว่า กรอม (Krom)[16] พบในจารึกมนูหะ คริสต์ศวรรษที่ 11 และจารึกมอญโบราณบริเวณพระเจดีย์ชเวซายันสมัยอาณาจักรสุธรรมวดี หมายถึง ชนชาติเลือดผสมระหว่างมอญ-ขอมอินเดียที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างระหว่างคริสตศักราชที่ 1000 ถึงครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ 13 ต่อมาตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1[17]
  • ภาษาพม่าเก่าเรียกชาวขอมว่า คฺยวม (Gywam, Krwam, kurwaṁ)[18] พบใน มหาราชวงศ์ ฉบับหอแก้ว ฉบับแปลโดยหม่องทินอ่อง และลูซ หมายถึง ชาวขอมดินแดน "อรอซะ" หรือ "อโยชะ" ในภาษาบาลีแปลว่า อยุธยา ซึ่งเป็นกลุ่มขอมสยามในลุ่มน้ำเจ้าพระยา
  • ภาษากรีกโบราณเรียกชาวขอมว่า ขอมเทศ[19] (กรีกโบราณ: Κωμήδαι, อักษรโรมัน: Komedes) บันทึกโดยปโตเลมี และทหารชาวโรมันชื่อ Ammianus Marcellinus หมายถึง ชนชาติที่อาศัยอยู่ในที่ราบสูง
  • ภาษาไทลื้อและภาษาไทใหญ่เรียกชาวขอมว่า กรอม[20] (กะหลอม) หมายถึง ชนชาติไทยสยามภาคกลางลงมา ในภาษาไทใหญ่นับรวมถึงชนชาติลาวด้วย
  • ภาษาล่าหู่ (มูเซอ) และภาษาจีนยูนนานเรียกชาวขอมว่า กรอม[20] (กะเลาะ, เกอหลอ) หมายถึง ชนชาติไทยพายัพ (ไทยวนในพื้นที่เชียงราย เชียงใหม่ ลําพูน และลําปาง)

ที่มา

[แก้]

ที่มาของคำ ขอม มีดังนี้

  • ถ่ายทอดมาจากภาษาฮินดีว่า Kom[21] (ฮินดี: कोम) แผลงจากคำว่า Komala[22] (ฮินดี: कोमल) หมายถึง ความนุ่ม พื้นที่นุ่ม ที่ ๆ มีน้ำ ชนชาติ Kom (Kom peoples) ที่อาศัยอยู่ในรัฐมณีปุระทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย สอดคล้องกับบันทึกเปอร์เซียชื่อ The Ship of Sulaiman เรียกอาณาจักรอยุธยาว่า ชะฮฺริ เนาว์ หมายถึง เมืองใหม่อันเป็นเมืองแห่งนาวา มีเรือ และแม่น้ำลำคลองมากมาย[23]
  • อาจมาจากคำว่า อัญขยม, อํญขยุม เป็นคำสยามโบราณ[24][12]: 89–90  เกิดจากการผสมระหว่างคำภาษาบาลีว่า "อญฺญ" (อ่านว่า อัน-ยะ) แปลว่า อื่น คนที่ต่างจากผู้นั้น หรือคำสันสกฤตว่า "อนฺย" (สันสกฤต: अन्य, อักษรโรมัน: Anya) ส่วนคำ "ขยม" มาจากคำภาษาเขมรเก่าว่า "ขฺญุํ" หรือ "กฺญุม" (เขมร: ខ្ញុំ, อักษรโรมัน: khñuṃ)[25] แปลว่า ข้ารับใช้ ทาส (Slave, bondsman)
  • มาจากคำว่า "กโรม"[13]: 68–69  (Karom) ในภาษาเขมรเก่ายุคก่อนพุทธศตวรรษที่ 8 แล้วเพี้ยนมาเป็น "กรอม" แล้วเป็น "ขอม"

พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์) อธิบายที่มาของคำ "ขอม" ว่า โดยอาคตฐานที่มาของคำว่าขอมนั้น คงจะหมายเอาหนังสือ เรียกชื่อหนังสือ หรือตรงคำว่า "อาคม" ซึ่งเป็นภาษาบาลี เมื่อคำนี้แพร่หลายในชาวเหนือ คำว่า "อา" หายไป เหลือแต่คำว่า "คม" นานเข้าเลยเป็น "ค็อม" แล้วจึงแปลงสำเนียงเป็น "ขอม" ไปเท่านั้น "ขอมดำดิน" ถ้าไม่ใช่พวกวิชาอาคมแล้วก็ดำไปไม่ได้ และคำ "ขอม" นั้น คือพวกขอมที่มาตั้งอยู่ที่เรียกว่าเมืองขอมในเวลานั้นเป็นพวกใช้คำบาลี หรือพราหมณ์[26]

ถ้าจะถือเอาคำว่า "ขอม" เป็นเขมรแล้ว ให้พิจารณา พงศาวดารเหนือ ย้อนหลังขึ้นไปตั้งแต่สมัยพระร่วงเจ้าครองเมืองล่วงแล้วพันปี พร้อมกับหยิบแผนที่สยามดูขึ้นไปทางข้างเหนือจะพบว่าน้ำทะเลขึ้นเกือบถึงเมืองศรีสัชนาลัย เมืองสุโขทัย จะเห็นแผนที่ข้างเหนือเป็นเมืองจีน ส่วนด้านใต้เมืองศรีสัชนาลัยจะเห็นได้แต่แหลม และเกาะกับน้ำทะเล เมื่อล่วงมาอีกเกือบพันปีจึงจะได้เห็นแผ่นดินและเมืองด้านทิศตะวันออก และด้านใต้ รวมทั้งพระเจ้าปัณฑราช เมืองพิทยานคร พึ่งจะจับจอง เมืองหงสาวดีเพิ่งจะผุดจากน้ำเมื่อล่วงได้ 1,000 ปี เท่านั้น ไม่เต็มใจที่จะสมมุติคำว่า "ขอม" เป็นชาติของคนเขมรได้เลย[26]

ความแตกต่าง ขอม–เขมร

[แก้]

เขมร

[แก้]

ชาวเขมรในกัมพูชา เรียกว่า ขะแมร์กร็อม หรือ ขะแมร์กรอม (Khmer Krom) หมายถึง ขอมกัมพูชาแท้เริ่มนับตั้งแต่ พ.ศ. 1400[27] อาศัยอยู่ในเขตฝั่งใต้ของลำน้ำมูล (ตามภูมิประเทศ เรียกว่า เขมรต่ำ หากอยู่เหนือลำน้ำมูลเรียกว่า เขมรสูง หรือขะแมร์ลือในภาษาเขมร)[28] คำว่า "กร็อม" หรือ "กรอม" (Krom) (เขมร: ក្រោម, อักษรโรมัน: karoṃ, karomm)[29] ในภาษาเขมรเมืองสุรินทร์ และภาษาเขมรกัมพูชา แปลว่า ใต้ ล่าง หรือต่ำ[30]

คำ "ขะแมร์, คแมร์, แขฺมร และ เขมร" เป็นคำเก่าที่ชาวกัมพูชาใช้เรียกตนเองตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7[31] (พ.ศ. 1724–61) มาจากคำว่า "เกฺมร" (เขมร: ខ្មែរ, อักษรโรมัน: kmer, แปลตรงตัว'ชาวขะแมร์ (Khmer), ชื่อข้ารับใช้ (Slavename)')[32] พบในศิลาจารึก Ka. 64 ที่บ้านเมลบ (เมลุบ) จังหวัดไพรแวง อายุราวพุทธศตวรรษที่ 12 คำจารึกว่า "(๑๓) กฺญุม เกฺมร โฆ โต ๒๐. ๒๐. ๗. เทร สิ ๒..." แปลว่า ข้ารับใช้ (ที่เป็น) ชาวเขมร[33]

ขอม

[แก้]

เอกสาร แถลงงานประวัติศาสตร์เอกสารโบราณคดี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2510 ระบุว่า ชนชาติขอมไม่ใช่ชนชาติเขมรแต่เป็นคนอินเดียผู้ขอเดินทางผ่านอาณาจักรไทยไปตั้งรกรากอยู่ที่กัมพูชา และเป็นผู้คลั่งศาสนาพราหมณ์นับถือลัทธิไศวเวท และวิษณุเวท นิยมการสร้างปราสาทหินถวายพระนารายณ์ และสร้างศิวลึงค์ถวายพระอิศวรปรากฏตามประวัติศาสตร์[34]

หนังสือ พระแสงราชศัสตรา[35] โดยกระทรวงมหาดไทย ชี้ให้เห็นความแตกต่างไว้ว่า ขอม คือ ราชวงค์ขอมที่ปกครองแคว้นกำพูชาซึ่งได้สูญสิ้นให้แก่กรุงศรีอยุธยาเมื่อ พ.ศ. 1974[35]: 18  (ดูเพิ่ม พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ, หน้า 21 กล่าวว่า สักราช 793 กุนสก (พ.ส. 1974) สมเด็ดพระบรมราชาเจ้าสเด็ดไปเอาเมือง(นครหลวง)ได้ แลท่านจึงไห้พระราชกุมารท่านพระนครอินทร์เจ้าเสวยราชสมบัตินะเมืองนครหลวงนั้น[36] หมายถึง สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา เสด็จการศึกมีชัยเหนือเมืองพระนครแล้วโปรดให้พระอินทราชา (พระนครอินทร์) พระราชโอรสทรงปกครองเสวยราชสมบัติ ณ เมืองพระนคร) ส่วน เขมร คือ ชาวเขมรพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในแคว้นกำพูชาซึ่งสยามเป็นผู้สนับสนุนให้เขมรพื้นเมืองมีอำนาจควบคุมกำจัดราชวงค์ขอม ทั้งยังสนับสนุนให้เขมรพื้นเมืองขึ้นครองบัลลังก์แทนราชวงค์ขอมแต่อยู่ภายในความปกครองควบคุมของสยาม[35]: 18 

หลักฐานทางโบราณคดี

[แก้]

หลักฐานคำ "ขอม" เก่าที่สุดคือ ลายสือขอม[37]: 276  สมัยสุวัณณภูมิ แต่เดิมขอมฟ้าไทยกับขุนสือไทยร่วมกันจารกเบื้องลายสือขอมเมื่อปีอิน 1245 มื้อวันเพ็ญเดือนห้า (ก่อนพุทธศักราช 4095) ลายสือขอมนี้เรียกว่า หนังสือไทย[37]: 277  ใช้เป็นตัวจารึก (จาร) พระไตรปิฏก อรรถกถา ฎีกา โปฏฐปาทสูตร คันถธุระ คัมภีร์ ปกรณ์ หนังสือเทศน์ต่าง ๆ และคำว่า ออมขอม[38] (แปลว่า แปลงตัวเป็นขอม ซึ่งขอมเป็นชื่อตำแหน่งครูอาจารย์ ช่าง นักวิชาการ นักหนังสือ) พบในจารึกกเบื้องจารคูบัว (แผ่นที่ 2 แผ่นลำดับอ่านที่ 93 หน้า 1) จังหวัดราชบุรี

สมัยสุโขทัยพบในศิลาจารึกวัดศรีชุม หลักที่ 2 สมัยสุโขทัย คำจารึกว่า:- "พ่อขุนบางกลางหาวแลขอมสบาดโขลญลำพงรบกนน"[13]: 69  จารึกล้านนาพบคำ "ขอม" ครั้งแรกในจารึกกษัตริย์ราชวงศ์มังราย (พะเยา) พ.ศ. 1945 สมัยสุโขทัย คำจารึกว่า "ในปีเต่าสง้า คำจวา ปีขอมไซร้ ปีมะแม"[39]: 16  และภาษาขอมที่เก่าแก่ที่สุดพบที่จารึกเขาน้อย จังหวัดปราจีนบุรี และจารึกเขารัง รัชสมัยพระเจ้าอิศานวรมันที่ 1 อาณาจักรเจนละ เป็นจารึกอักษรปัลลวะเขียนด้วยภาษาสันสกฤตและขอม[40] พบที่จังหวัดศรีสะเกษ[41]

ความหมาย

[แก้]

คำ "ขอม" ในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถานทุกฉบับ[42] พ.ศ. 2493, พ.ศ. 2525, พ.ศ.2542 ให้คำนิยามว่า ขอม แปลว่า เขมร

ส่วนพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถาน พ.ศ. 2554 ให้นิยามคำว่า ขอม แปลว่า เขมรโบราณ

นอกจากนี้ได้มีผู้ให้ความหมายแตกต่างไป ดังนี้

  1. ขอม แปลว่า ใหญ่ หรือผู้เป็นใหญ่[43]
  2. ขอม แปลว่า ผู้มีภูมิรู้ประเสริฐสุด นระผู้บรรชาญ นระผู้คงแก่เรียน นระผู้รู้ เป็นคนชั้นหัวก๊ก ปู่ครูผู้บรรชาญในสาขาความรู้ต่าง ๆ[8]
  3. ขอม แปลว่า ใต้ ถิ่นใต้ สิ่งของทางใต้ คนใต้ หรือกลุ่มชนชาติไทยสยามที่ชาวไทลื้อเรียกว่าไทใต้[44]
  4. ขอม (กลุ่มชาติพันธุ์ชาวไทเรียกว่า ขรอม) แปลว่า คนที่พูดภาษาไตอาศัยอยู่ใกล้ๆ ทะเล หรือทางใต้ของภูเขา (โดยนาย มิกกี้ ฮาร์ท นักวิชาการชาวเมียนมาร์ สันนิษฐานจากการอ่านศิลาจารึกภาษาขอมไทย พิพิธภัณฑ์โบราณคดีพุกาม และการสอบถามกลุ่มชาติพันธุ์ชาวไท)[45]
  5. ขอม ในภาษาไทยละว้าเดิม แปลว่า รัด ครอบ สวม[46][11] พบการใช้คำนี้เรียกปากชะลอมที่จังหวัดราชบุรี
  6. ขอม ในตำนานไท เขียนว่า กรอม กล๋อม กะหล๋อม หรือ ก๋าหลอม แปลว่า คนที่อยู่ทางใต้[13]
  7. ขอม ในจารึกวัดศรีชุม แปลว่า กลุ่มชนที่อาศัยอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างมากกว่าจะหมายถึงเขมรเมืองพระนคร[13]
  8. ขอม ความหมายตามหลักฐานสมัยสุโขทัย แปลว่า คนทางใต้ หรือ คนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วน "ขอม" ความหมายตามหลักฐานสมัยอยุธยา แปลว่า คนเขมรในประเทศกัมพูชา (โดย รศ.ดร.ศานติ ภักดีคำ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์เขมร)[13]: 86 
  9. ขอม (คำสันกฤต, ฮินดี) คือคำว่า Kom แผลงมาจากคำว่า Komala แปลว่า ความนุ่ม พื้นที่นุ่ม ที่ ๆ มีน้ำ ชนชาติ Kom (Kom peoples) ที่อาศัยอยู่ในรัฐมณีปุระ[22]
  10. ขอม แปลว่า กษัตริย์ไศเลนทรพวกที่มีมารดาเป็นเจ้าหญิงเขมร[47]


การใช้คำ "ขอม" พบว่าเป็นคํานามประสมหรือสำนวนในหนังสือวิชาการหลากหลาย เช่น

  • อักษรขอมได้รับอิทธิพลจากอักษรปัลลวะ[48] (อักษรราชวงศ์ปัลลวะ หรือคฤษถ์ราชวงศ์ปัลลวะ) เป็นรูปอักษรแบบอินเดียใต้ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 8–13[49] ที่มีศกหรือมีผมบนตัวอักษร[39]: 25  ใช้เขียนทั้งภาษาไทย บาลี สันสกฤต และเขมร (พึงระวังด้วยอักษรขอมไม่ใช่อักษรเขมร[50]) เช่น อักษรขอมสยาม หรืออักษรธรรมไทใต้ (พ.ศ. 1100) อักษรขอมไทย[51] (ขอมเมือง หรือขอมเสียบ) คือ อักษรที่ได้รวมเอาอักษรหลายแบบมาไว้ด้วยกัน คือ อักษรขอม อักษรพ่อขุนรามคำแหง และอักษรธรรมล้านนา พบในวรรณกรรมเรื่อง โคลงนิราศหริภุญชัย โคลงนิราศดอยเกิ้ง โคลงพรหมทัต เป็นต้น[52] อักษรขอมบาลี (หรืออักษรขอมมคธ) พบในจารึกวัดป่ามะม่วง หลักที่ 6 จารึกวัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม (วัดตาเถรขึงหนัง) หลักที่ 8ค จังหวัดสุโขทัย ใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย-รัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 5[13]: 130 [53]: 18–19  อักษรขอมเกย[54] คือ อักษรขอมบาลีคล้ายอักษรขอมไทยแต่มีสระน้อยกว่า อักษรขอมสันสกฤต[55] เช่น วรรณกรรมเรื่อง วยาการศตกะหรือสุภาษิตร้อยบท แม่อักษรขอมขุดปรอท[39]: 21  คือ อักษรสำหรับพระพุทธศาสนา อักษรขอมสุโขทัย[56] (จารึกวัดป่ามะม่วง พ.ศ. 1904) อักษรขอมอยุธยา[57] อักษรขอมธนบุรี-รัตนโกสินทร์[57] อักษรขอมเฉียง[58] พบในตำราพระเพลาวัดบางแก้ว แปลเป็นอักษรไทยโดยพระครูมณฑลกิจปาฏิกรณ์ (เอียด) อักษรขอมอินเดียใต้[59] พบในประเทศลาว อักษรขอมลาว[60] สันฐานคล้ายอักษรพม่าแต่ไม่ใช่อักษรพม่า พบที่วัดศีสะเกดเมืองเวียงจันทร์ ประเทศลาว ฯลฯ อักษรที่ใช้เขียนหนังสือสวดด้วยปากกาเพื่อความสวยงาม (จารไม่ได้) เช่น อักษรขอมย่อ อักษรที่ใช้จารแผ่นหิน แผ่นไม้ ใบลาน สมุดไทย เช่น อักษรขอมหวัด อักษรขอมบรรจง เป็นต้น
  • ผู้คน เช่น ชาวขอม[39]: 20  คือ ชนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นคนละกลุ่มกับชนกลุ่มชาวไทตามหลักฐานจารึกสมัยสุโขทัย ขอมสยาม (ทหารคฺยวม)[61] คือ กองทัพสยามที่ยกไปตีเมืองสะเทิมของมอญสมัยพระเจ้าอุทินนะตามพงศาวดารกรุงสุธรรมวดี (สะเทิม) ขอมสันสกฤต[62] คือ ชาวขอมพูดภาษาพราหมณ์ (ฮินดู) ขอมสบาดโขลญลำพง[53]: 27  คือแม่ทัพฝ่ายขอมซึ่งปกครองเมืองสุโขทัยอยู่ในฐานะเมืองหน้าด่านของขอม พ.ศ. 1781 ขอมดำดิน ในพงศาวดารเหนือ ขอมละว้า[63] (คือชนชาติละว้าพื้นราบผสมกับชนชาตินาคาจากอินเดียและตอนเหนือของพม่า วิวัฒนาการมาเป็นชาติ ขอมแท้) ชาวขอมเสลานคร[64]: 23  คือชนกลุ่มที่อาศัยอยู่ในเมืองอุโมงค์คเสลานคร (พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน) ชาวขอมดำ คือชนกลุ่มชาวกูยที่อาศัยริมแม่น้ำโขง ขอมแปรพักตร์ ในพระราชนิพนธ์เรื่อง แผ่นดินเขมรเป็น ๔ ภาค คือ หัวเมืองเขมรที่ขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ เช่น เมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ ขอมกับพูชา[27]: 30  (ขอมกำพูชาแท้เริ่มตั้งแต่ พ.ศ. 1400) ชาวขอมดำกำโพชพิสัย[39]: 24  คือ ชาวขอมดำในถิ่นกัมพูชา ขอมเลือดผสมไทยน่านเจ้า[27]: 30  ขอมแท้[65] คือ กลุ่มพวกพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ยโสธรปุระ ผู้สร้างสร้างพระนครวัดนครธม ขอมดำ[66] คือ ชาวขอมอินเดียเผ่าหนึ่งในตระกูลภาษาออสโตรเอเชียติกอาศัยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย ต่อมาได้อพยพมาอยู่ทางภาคเหนือของดินแดนสุวรรณภูมิ พิริยะแขกขอม[67] คือ ครูผู้รู้ลายสือขอมไท
  • กษัตริย์ เช่น พระยาขอมดำ[64]: 22–23  คือ กษัตริย์โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น เจ้าเมืองขอม[68]: 21  เช่น พระยากาฬวรรณดิศ ราชบุตรของพระยากากะภัทรกรุงตักศิลาสร้างเมืองละโว้
  • ภาษา เช่น ขอมดำดิน (สำนวนไทย) แปลว่า คนที่ปรากฏตัวขึ้นทันทีอย่างไม่คาดฝัน หรือหายไปอย่างรวดเร็วไม่ทันได้สังเกต[69]
  • วัฒนธรรม เช่น วัฒนธรรมขอมลพบุรี[70] วัฒนธรรมขอมสยาม[61]: 348  วัฒนธรรมขอมกัมพูชา[71] วัฒนธรรมขอมฮินดู-พุทธมหายาน (แนวคิดของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช)
  • สถานที่ เช่น แม่น้ำขอม[68]: 22  คือชื่อเดิมของแม่น้ำโขง
  • กาลเวลา ปฏิทิน เช่น ขอมเดือน[72] คือ การนับเดือนแบบจันทรคติด้วยภาษาบาลีสันสกฤต เช่น เดือนกิตติกาเพ็ง หมายถึง ขึ้น 15 ค่ำเดือนสิบสอง (พบในจารึกฐานพระพุทธรูป วัดพระธาตุศรีดอนคํา ว.ศ.ด.ค. ๐๒๑) ขอมปี[73] คือ การนับปีแบบนักกษัตร 12 ราศี เช่น ปีวอก


ส่วนคำ ขอม ที่มีนัยหมายถึงเขมรในประเทศกัมพูชานับว่าเป็นทัศนะของผู้ชำระประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์[13] ปรากฏในหลักฐานดังนี้[13]

  • ประชุมพงศาวดาร เรื่อง พงศาวดารตอนไทยมาจากเมืองเดิม ว่าด้วยต้นเหตุการณ์เกณฑ์ทหารไทยแต่โบราณ กล่าวว่า :-

แดนดินที่เป็นสยามประเทศนี้ เดิมทีเดียวได้เป็นที่อยู่ของชน ๓ ชาติ ซึ่งพูดภาษาคล้ายคลึงกัน คือพวกขอม (ซึ่งเรียกกันบัดนี้ว่าเขมร) อยู่ข้างใต้ตอนแผ่นดินต่ำในลุ่มแม่น้ำโขงที่เป็นแดนกรุงกำพูชาเดี๋ยวนี้ ชาติ ๑ พวกลาว (คือชนชาติที่เรียกกันในปัจจุบันนี้ว่าละว้า) อยู่ตอนกลางคือในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานี้ ตลอดไปทางตะวันออกจนในลุ่มแม่น้ำโขงตอนแผ่นดินสูง (คือมณฑลนครราชสีมาและมณฑลอุดรร้อยเอ็ดอุบลบัดนี้) ชาติ ๑ พวกมอญอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือตอนลุ่มแม่น้ำสาละวิน ตลอดไปจนถึงลุ่มแม่น้ำเอราวดีข้างตอนใต้ ที่เป็นแดนประเทศพม่าบัดนี้ชาติ ๑ แดนดินที่กล่าวมานี้ชาวอินเดียแต่โบราณเรียกกันว่า "สุวรรณภูมิ" เพราะเหตุเป็นบ่อที่มีบ่อทอง[74]

  • พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ตรวจสอบชำระจากเอกสารตัวเขียน
  • พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับปลีก หมายเลข ๒/ก ๑๐๔ (ต้นฉบับของหอพระสมุดวชิรญาณ)
  • พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
  • พงศาวดารเขมรฉบับออกญาวงศสารเพชญ (นง) ฉบับแปลภาษาไทย พ.ศ. 2398[13]: 87 
  • พระราชนิพนธ์เรื่อง แผ่นดินเขมรเป็น ๔ ภาค ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นผู้ริเริ่มกำหนดว่า ขอมแปรพักตร์ หมายถึง หัวเมืองเขมรที่ขึ้นตรงกับกรุงเทพฯ เช่น เมืองพระตะบอง เมืองเสียมราฐ[13]: 87 
  • กำสรวลสมุทร (โคลงบทที่ 20 และ 67)
  • กฏหมายตราสามดวงว่าด้วยกฏมณเฑียรบาล มาตรา ๒๐ ตราขึ้นปี จ.ศ. ๗๒๐ (พ.ศ. 1901)
  • คำฉันท์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงประสาททอง (ฉบับพระมหาราชครู)
  • จินดามณีครั้งแผ่นดินพระเจ้าบรมโกศ
  • เสภาพระราชพงศาวดาร ของสุนทรภู่

นิรุกติศาสตร์

[แก้]

เดิม ขอม ไม่ได้หมายถึงเขมรกลุ่มเดียว เพราะ เขมร นั้น เป็นคำไทย ซึ่ง หมายถึง ขะแมร์ ชาวเขมร ไม่ได้เรียกตัวเองว่า ขอม และไม่รู้จัก ขอม โดยคำว่า เขมร ได้ปรากฏขึ้นอย่างน้อย ๆ เมื่อ พ.ศ. 1069 จากจารึกคำว่า เขมร ในจารึกซับบาก อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา[75] ต่อมาสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใหม่ เมื่อ พ.ศ. 1893 แล้วชื่อ ขอม มีความหมายเปลี่ยนไปเป็นพวกเขมรเท่านั้น สืบมาจนถึงทุกวันนี้ ทำไมชื่อขอม เปลี่ยนความหมายไปเป็นเขมร ? ยังหาคำอธิบายไม่ได้ชัดเจน แต่พอจะจับเค้าว่าเพราะบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยานับถือพุทธนิกายเถรวาทหมดแล้ว รวมทั้งละโว้ แต่ทางเขมรยังมีพวกนับถือฮินดูกับพุทธมหายาน คือขอมอยู่บ้าง

คำว่า ขอม ปรากฏในจารึกวัดศรีชุม สุโขทัย 2 แห่ง ระบุชื่อ ขอมสบาดโขลญลำพง จิตร ภูมิศักดิ์ เป็นนักวิชาการคนแรก ๆ พยายามศึกษาและอธิบายคำคำนี้ใหม่ ได้เสนอว่า ขอม ไม่ได้หมายถึงเชื้อชาติ แต่หมายถึงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ที่รับวัฒนธรรมฮินดูจากชมพูทวีปแล้วภายหลังเปลี่ยนเป็นพุทธมหายาน (ต่างกับชนชาติไทย-ลาวที่นับถือผีก่อนเปลี่ยนมารับพุทธเถรวาทจากชมพูทวีป) ใช้อักษรขอมในการจดจารึก ซึ่งคนกลุ่มนี้รวมถึงชนชาติเขมรและรัฐเครือญาติทั้งหมด รวมทั้งละโว้ ซึ่งต่อมาได้กลายมาเป็นอโยธยาศรีรามเทพนครด้วย คำว่า "ขอม" ถูกใช้เรียกกลุ่มคนโดยรวม คล้ายกับการใช้คำว่า "แขก" เรียกคนอิสลาม/ซิกข์/ฮินดูโดยรวม โดยไม่แยกว่าเป็นคนอินเดีย มลายู ชวา หรือตะวันออกกลาง จิตร ยังอธิบายว่า คำว่าขอม ถูกนำมาใช้ในงานเขียนสมัยใหม่ (ขณะนั้น)โดยมีความรู้สึกชาตินิยมเป็นพื้นมากกว่าข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ เช่นการถือว่าขอมเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เคยแผ่อำนาจมาครอบครองดินแดนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงสุโขทัย มีอิทธิพลต่อชาวไทยโบราณ ต่อมาชาวไทยที่สุโขทัยรุ่งเรืองในบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา อิทธิพลของขอมได้หายไปจากแผ่นดินไทย[76]

สุจิตต์ วงษ์เทศ นักวิชาการแห่งสำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม ก็เสนอว่า ขอม ในที่นี้น่าจะหมายถึงคนในที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ต่อสู้ชิงความเป็นใหญ่กับคนทางเหนือ คำว่าขอม ใช้เรียกคนเมืองละโว้หรือลพบุรี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เก่าแก่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และต่อมาจึงเรียกรวมไปถึงเมืองอโยธยาศรีรามเทพนคร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอยุธยา จากนั้นในหลักฐานประวัติศาสตร์ของอยุธยา ได้ใช้คำนี้เรียกคนในดินแดนเขมรแถบเมืองพระนครหรือนครธม ในข้อความที่ว่า "ขอมแปรพักตร์"และในกฎมณเฑียรบาล น่าจะหมายถึงคนในเขมรหรือกัมพูชา[77] โดยสรุป คำว่า ขอม เป็นคำเรียกคน มีความหมายทางวัฒนธรรมและมีความหมายเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. ราชบัณฑิตยสถาน (พ.ศ. 2554) (ไทย) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554, กรุงเทพมหานคร: นานมีบุ๊คส์
  2. "ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : ขอม คือ ใคร Who are the Khom?". ประชาไท. สืบค้นเมื่อ 30 January 2023.
  3. ""เขมร" ไม่เรียกตัวเองว่า "ขอม" ไม่มีคำว่าขอมในภาษาเขมร คำว่า "ขอม" มาจากชนพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่กระจายตัวอยู่ตามที่ราบลุ่มมีวิธีผันน้ำและปลุกข้าวทำเกษตร". ศิลปวัฒนธรรม. 27 January 2023. สืบค้นเมื่อ 30 January 2023.
  4. 4.0 4.1 4.2 4.3 Diffloth, Gérard. (1984). The Dvaravati Old Mon Language and Nyah Kur. Bangkok: Chulalongkorn University Printing House. pp. 219–220. ISBN 978-974-5-63783-2 หมายเหตุ: ลำดับคำที่ V192. และคำที่ V.192a.
    • p. 343 :— "The Thai term ขอม /khɔ̌ɔm/, "Khom", sometimes used to refer to the Khmer period in Thailand, is apparently a Lao pronounciation of the Old Mon word *krɔɔm < krom >, meaning "Cambodian". The word is found in an Old Mon inscription, with that meaning (DOMI: p. 62), and in other Mon-Khmer languages, meaning "below, under, South". (Cf. V192)."
  5. 5.0 5.1 5.2 5.3 Benedict, Paul K. (1990). Japanese/Austro-Tai. Ann Arbor, MI: Karoma Publishhers. p. 210. ISBN 089720-078-0
  6. Unseth, Peter. "The Sociolinguistics of Script Shoice: An Introduction," International Journal of the Sociology of Language 192(2008): 25 doi:10.1515/IJSL.2008.030 "Notes 2. The term Khom is from the Lao word khom, from the mon krom 'south(erners)', ..."
  7. 7.0 7.1 7.2 Jenner, Philip N. (2009). A Dictionary of pre-Angkorian Khmer. Canberra: Pacific Linguistics Research School of Pacific and Asian Studies, The Australian National University. ISBN 978-085-8-83595-5
  8. 8.0 8.1 กรมศิลปากร. (2530). ทักษิณรัฐ. กรมศิลปากรจัดพิมพ์เพื่อเชิดชูเกียรติแด่ศาสตราจารย์มานิต วัลลิโภดม ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีไทย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. 187 หน้า. หน้า 90.
  9. Pholsena, W., Nordic Institute of Southeast Asian Studies (NIAS) University of Copenhagen and Institute of Southeast Asian Studies (ISEAS), National University of Singapore. (2006). Post-war Laos: The politics of Culture, History and Identity. Pasir Panjang: Utopia Press. p. 36. ISBN 981-230-355-3, 981-230-356-1. "It seems Khom was an old word used by the Tai peoples in ancient times—perhaps before the foundation of the Lan Xan kingdom."
  10. สมาคมประวัติศาสตร์. รวมบทความประวัติศาสตร์ 5(7)(มิถุนายน 2525). ISSN 0857-7692
  11. 11.0 11.1 พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต ป.ธ.6) และวันอุ่น เขียนไทย. (2538). "ขอม สายสือขอม", ต้นไทย ฅนไทย ก่อนสุโขไทย. เรียบเรียงจากการค้นคว้าและการอ่านลายสือไทยจารึกในแผ่นหินทราย-กเบื้องจาร ของพระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทตฺโต ป.ธ. 6). กรุงเทพฯ: ม.ป.พ. หน้า 72. ISBN 978-974-7-65138-6
  12. 12.0 12.1 เทพ สุนทรศารทูล. (2545). ดาวพระศุกร์: ดาวประจำเมืองสยาม. กรุงเทพฯ: ดวงแก้ว. หน้า 35. ISBN 978-974-9-03342-5
  13. 13.00 13.01 13.02 13.03 13.04 13.05 13.06 13.07 13.08 13.09 13.10 ศานติ ภักดีคำ. (2562). "เขมร คำที่ไทยใช้เรียกเขมรมาตั้งแต่เมื่อใด?", แลหลังคำ เขมร-ไทย. กรุงเทพฯ: มติชน. 375 หน้า. หน้า 61-87. ISBN 978-974-0-21687-2
  14. ถนอม อานามวัฒน์, ไพฑูรย์ มีกุศล, สมคิด ศรีสิงห์, ทวีศักดิ์ ล้อมลิ้ม และพวงร้อย กล่อมเอี้ยง. (2518). ประวัติศาสตร์ไทยยุคก่อนประวัติศาสตร์ไทยถึงสิ้นอยุธยา. กรุงเทพฯ: ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. หน้า 11.
    • สมชาย พุ่มสอาด. (2532). ถิ่นไทยในแหลมทอง. กรุงเทพฯ: กรุงสยาม. หน้า 27. ISBN 978-974-3-05273-6
  15. สัทธา อริยะธุกันต์. (2535). การวิเคราะห์วรรณกรรมคำสอนอีสานใต้. บุรีรัมย์: โครงการตำรามูลนิธิเจมส์ เอช ดับเบิลยู ทอมป์สัน, ศูนย์ตำราวิทยาลัยครูบุรีรัมย์. หน้า 59.
    • วารสารศิลปวัฒนธรรม, 30(1):13.
  16. Luce G. H. (1969). Old Burma—Early Pagán: Text. New York: Artibus Asiae and the Institute of Fine Arts, New York University. p. 24.
  17. Bennison, J.J. (1933). Census of India, 1931 Volume XI: BURMA PART I.—REPORT.. Rangoon: Office of the Supdt., Government Printing and Stationery. p 300.
  18. สุจิตต์ วงษ์เทศ. (2529). คนไทยอยู่ที่นี่. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม. หน้า 70. ISBN 978-974-8-35060-8. "(จิตร ภูมิศักดิ์:๒๕๒๕ อ้างถึง ลูซ และอธิบายว่า "คฺยวม" เป็นคำพม่าหมายถึง "ขอม")".
  19. Liccardo S. p. 126. (2024). Old names, New Peoples: Listing Ethnonyms in Late Antiquity. Leiden, The Netherlands: Koninklijke Brill nv. ISBN 978-90-04-68589-5 ISSN 1878-4879 LCCN 2023-37557 cited in Ptol., Heog. 6.13.3. "an ethnonym recorded by Ptolemy as Komedes (Κωμήδαι). This name defines also the highlands inhabited by the ethnic group, as recorded by Ammianus Marcellinus (mons Comedos)"
  20. 20.0 20.1 จิตร ภูมิศักดิ์. (2547). ข้อเท็จจริงว่าด้วยชนชาติขอม: อันเนื่องมาจากความเป็นมาของคําสยาม ไทย ลาว และ ขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ. กรุงเทพฯ: มติชน. หน้า 17. ISBN 974-323-233-8
  21. Sharma G. C. (1999). "The Sixteen Devisioned of a Sign", Maharishi Parasara's Brihat Parasara Hora Sastra Vol. I: A Compendium in Vedic Astrology. Hapur, India: Sugar Publications. p. 126.
  22. 22.0 22.1 Fallon S. W. (1879). A new Hindustani-English dictionary: with Illustrations from Hindustani Literature and Folk-lore. Dedicated by Permission to Sir Richard Temple, Bart., G.C.S.I., C.I.E. Governor of Bombay. London: E.J. Lazarus and Co., Banaras-Trübner and Co. p. 959.
    • Tivari B. (1964). Bhasha Vijnana Kosa Linguistics Treasury भाषा विज्ञान कोष (in Hindi)]. Varanasi, India: Jnana-Mandala. p. 169
  23. ดิเรก กุลสิริสวัสดิ์. (2517). ความสัมพันธ์ของมุสลิมทางประวัติศาสตร์ และวรรณคดีไทย และสำเภากษัตริย์สุลัยมาน (ฉบับย่อ). กรุงเทพฯ: สมาคมภาษา และหนังสือแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์. หน้า 146.
  24. ศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร), พระยา. (2446). "คำสยามโบราณ" หนังสืออนันตวิภาค: หนังสือสำหรับกุลบุตร์ศึกษาศัพท์ต่าง ๆ มี ศัพท์โบราณ เขมร ชวา บาฬีแปลง ราชาศัพท์ เปนต้น เก็บถาวร 2024-05-25 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. พระนคร: พิศาลบรรณนิติ์. หน้า 16.
  25. "ខ្ញុំ", Dictionary of Old Khmer. SEALANG Projects. cited in Phillip Jenner's Dictionary of Pre-Angkorian Khmer and Dictionary of Angkorian Khmer (Pacific Linguistics, 2009).
  26. 26.0 26.1 ปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์), พระยา. (2530). โบราณศึกษาและรัตนพิมพวงศ์ ของพระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษมณ์). พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ นางบุญเรือน ตาละลักษมณ์ ณ ฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๐. กรุงเทพฯ: ประชุมทองการพิมพ์. หน้า 4. ISBN 978-974-7-92911-9
  27. 27.0 27.1 27.2 ประกิต (นามเดิม จิตร) บัวบุศย์. (2516). การศึกษาศิลปกรรมไทย. กรุงเทพฯ: จักรานุกูลการพิมพ์. หน้า 30.
  28. คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2512). โบราณคดีนครราชสีมา. พระนคร: กรุงสยามการพิมพ์. หน้า 218.
    • วีระ สุดสังข์. "ชาวกวย-ชาวเขมร รำตำตะ-เล่นตร๊ด ที่ศรีสะเกษ", เมืองโบราณ 26(1)(มกราคม-มีนาคม 2543):121.
  29. "ក្រោម", Dictionary of Old Khmer. SEALANG Projects. cited in Phillip Jenner's Dictionary of Pre-Angkorian Khmer and Dictionary of Angkorian Khmer (Pacific Linguistics, 2009).
  30. คติธรรม สิงคเสลิต. (2561). ภาษาเขมรเมืองสุรินทร์ (eBook). [ม.ป.ท.]: [ม.ป.พ.]. หน้า 49.
    • สรศักดิ์ จันทร์วัฒนกุล. (2551). ๓๐ ปราสาทขอม ในเมืองพระนคร. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หน้า 65. ISBN 978-974-7-38531-1
  31. พิพัฒน์ กระแจะจันทร์. (2556). ประวัติศาสตร์ผู้คนบนเส้นพรมแดนเขาพระวิหาร. กรุงเทพฯ: มติชน. หน้า 268 เชิงอรรถ ๘. ISBN 978-974-0-21192-1
  32. "ខ្មែរ", Dictionary of Old Khmer. SEALANG Projects. cited in Phillip Jenner's Dictionary of Pre-Angkorian Khmer and Dictionary of Angkorian Khmer (Pacific Linguistics, 2009).
  33. กรมศิลปากร. (2565). "“เกฺมร” รูปเขียนของคำาว่า “เขมร” ในศิลาจารึกเขมรโบราณสมัยก่อนเมืองพระนคร", แถลงงานคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยพุทธศักราช ๒๕๖๔. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. หน้า 134-135. ISBN 978-616-283-618-3
  34. คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย และคณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี, สำนักนายกรัฐมนตรี. (2510). แถลงงานประวัติศาสตร์เอกสารโบราณคดี ปีที่ 1 ฉบับที่ 1-2 (มกราคม-สิงหาคม 2510). พระนคร: สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี. หน้า 130.
  35. 35.0 35.1 35.2 กระทรวงมหาดไทย. (2509). พระแสงราชศัสตรา. พิมพ์เป็นอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลเอก มังกร พรหมโยธี ม.ป.ช.,ม.ว.ม.,ท.จ.ว. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส ๒๙ มิถุนายน ๒๕๐๙. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น กรมการปกครอง. 172 หน้า.
  36. พระราชพงสาวดารกรุงเก่า (ฉบับหลวงประเสิด). เจ้าภาพพิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงสพ พันเอก พร้อม มิตรภักดี (พระยานรินทร์ราชเสนี). พระนคร: บริสัทการพิมพ์ไทย. หน้า 21.
  37. 37.0 37.1 พระราชกวี (อ่ำ ธมฺมทต์โต ป.ธ.๖). (2535). "ต้นเลกไทย ปีอิน ๑๒๔๕-๑๓๒๒ ก่อน พ.ศ. ๔๐๙๕ เมื่อ ๖,๘๒๐ ปีมาแล้ว (พ.ศ. ๒๕๑๘)", พุทธสาสนสุวัณภูมิปกรณ ราชบุรีวัตถุกถา ตำนานเมืองขุนไทย. (พิมพ์ครั้งที่ 6). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
  38. พระธรรมวงศ์เวที (อ่ำ ธมฺมทตฺโต). (2510). พงศาวดารไทยลว้า เมืองสวง เมืองแผน เมืองแมน เมืองทอง สุวรรณภูมิ ราชพลี ราชบุรี ตามกเบื้องจานไทย (ฉบับร่าง) อันได้จาก ราชบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช พิมาย ตามกเบื้องจานไทย (ฉบับร่าง) เก็บถาวร 2024-06-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. พิมพ์เป็นอนุสรณ์บรรณาการในการพระราชทานเพลิงศพ ม.ร.ว. สอน สุประดิษฐ์ (รองเสวกเอก จ่าโชนเชิดประทีปใน) นางชุบศรี สุประดิษฐ์ ณ อยุธยา จัดพิมพ์ ณ เมรุฌาปนสถานกองทัพบก วัดโสมนัสวิหาร วันที่ ๔ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๐. พระนคร: พพิธ (แผนกการพิมพ์). หน้า 60.
  39. 39.0 39.1 39.2 39.3 39.4 เอมอร เชาวร์สวน, สำนักหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร. "คำว่าขอมในจารึกสุโขทัย อยุธยา และล้านนา", นิตยสารศิลปากร, 66(3)(พฤษภาคม-มิถุนายน 2566).
  40. กรรณิการ์ วิมลเกษม. (2552). ตําราเรียนอักษรไทยโบราณ อักษรขอมไทย อักษรธรรมล้านนา อักษรธรรมอีสาน. นครปฐม: ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 324. ISBN 978-974-6-41252-0
    • สำนักนายกรัฐมนตรี, คณะกรรมการจัดพิมพ์เอกสารทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และโบราณคดี. (2510). "อธิบายภาษาขอมเทียบภาษาเขมร", ประชุมพระตำราบรมราชูทิศเพื่อกัลปนาสมัยอยุธยา ภาค 1. กรุงเทพฯ: สำนักนายกรัฐมนตรี. หน้า 47.
    • กรมศิลปากร, หอสมุดแห่งชาติ. (2529). จารึกในประเทศไทย เล่ม ๓: อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 13.
    • มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2534). สารานุกรมสุโขทัยศึกษา เล่ม 1. นนทบุรี: โครงการศูนย์สุโขทัยศึกษา สาขาวิชาศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. หน้า 10. ISBN 978-974-6-14936-5
    • ชวลิต อังวิทยาธร. (2538). เงินตรานโม: เงินตราโบราณภาคใต้ 1. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หน้า 57. ISBN 974-736-741-6
    • ธิดา สาระยา. (2537). รัฐโบราณในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้: กําเนิดและพัฒนาการ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หน้า 261.
    • วิทยาลัยครูบุรีรัมย์. (2537). สมบัติอีสานใต้ 6(27–29 ธันวาคม 2537):60.
  41. ธิดา สาระยา. (2552). อารยธรรมไทย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ. หน้า 266. ISBN 978-974-7-38540-3
    • ธิดา สาระยา. (2545). อารยธรรม-วัฒนธรรมในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 200. ISBN 978-974-1-31685-4
  42. ราชบัณฑิตยสถาน (พ.ศ. 2493) (ไทย) พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๔๙๓, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์บริษัท คณะช่าง จำกัด  หน้า 190
  43. เทพ สุนทรศารทูล. (2533). ชีวประวัติ พระสุนทรโวหาร (ภู่ ภู่เรือหงส์). กรุงเทพ: พระนารายณ์. 225 หน้า. ISBN 978-974-5-75133-0. หน้า 19.
    • ศิลปวัฒนธรรม, 23(7), (2545): 22.
  44. กรมศิลปากร, กรมกองโบราณคดี. (2518). ตำราเรียนอักษรโบราณของ อ.สวัสดิ์ วิเศษวงษ์. กรุงเทพฯ: วงศ์สว่างการพิมพ์. 110 หน้า.
  45. สารคดี: โยเดีย ที่คิด (ไม่) ถึง จารึกปริศนาภาษาไทยก่อนสมัยสุโขทัย. Thai PBS.
  46. อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว และคณะ. (2546). สิทธิชุมชนท้องถิ่นพื้นเมืองดั้งเดิม ล้านนา: กรณีศึกษาชุมชนลัวะ ลื้อ ปกาเกอญอ (กระเหรี่ยง) ในจังหวัดน่าน เชียงราย เชียงใหม่. กรุงเทพฯ: นิติธรรม. 440 หน้า. หน้า 282. ISBN 974-203-218-1
  47. ธรรมทาส พานิช. (2542). พนม ไศเลนทร: ประวัติศาสตร์ไทยก่อนสมัยสุโขทัย. กรุงเทพฯ: อรุณวิทยา และธรรมทานมูลนิธิ. หน้า 54. ISBN 978-974-8-66896-3 OCLC 880785223
  48. กรมศิลปากร, หอสมุดแห่งชาติ. (2529). จารึกในประเทศไทย เล่ม ๔ : อักษรขอม พุทธศตวรรษที่ ๑๗-๑๘. กรุงเทพฯ: ภาพพิมพ์. หน้า 13. ISBN 974-7920-74-3
  49. มานิต วัลลิโภดม. (2521). สุวรรภูมิอยู่ที่ไหน. กรุงเทพฯ: การเวก. หน้า 108.
  50. นิธิ เอียวศรีวงศ์ และปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล. (2547). โขน, คาราบาว, น้ำเน่าและหนังไทย ว่าด้วยเพลง, ภาษา และนานามหรสพ. กรุงเทพฯ: มติชน. หน้า 107. ISBN 978-974-0-21361-1
  51. เรืองเดช ปันเขื่อนขัติย์. (2530). อักษรไทย. นครปฐม: สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. 144 หน้า.
  52. กรรณิการ์ วิมลเกษม. (2527). อักษรฝักขามที่พบในศิลาจารึกภาคเหนือ. (พิมพ์ครั้งที่ 2). นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 38.
  53. 53.0 53.1 สุทัศน์ สิริสวย. (2509). พระราชกรณียกิจของพ่อขุนรามคำแหงในการก่อตั้งสถาบันการปกครองของชาติไทย. วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กรุงเทพฯ. NIDA Wisdom Repository: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/1168. 141 หน้า.
  54. กรมศิลปากร และวิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช. (2529). รายงานการสัมมนาประวัติศาสตร์นครศรีธรรมราช ครั้งที่ 4 เรื่อง ศิลปวัฒนธรรมนครศรีธรรมราชกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมของนครศรีธรรมราช วันที่ 14-17 สิงหาคม 2529 ณ โรงแรมไทยโฮเต็ล อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช. นครศรีธรรมราช: วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช. หน้า 311.
  55. หอพระสมุดวชิรญาณ. (2467). วยาการศตกม หรือ สุภาษิตร้อยบท. นางประเพณีวินิจฉัย แลขุนอนัคฆานุบาล กับสวิง เสริมประเสริญ พิมพ์ในงารศพสนองคุณ นางบุญรอด เสริมประเสริญ ผู้มารดา เมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๖๗. พระนคร: โสภณพิพรรฒธนากร.
  56. เกริกฤทธิ์ เชื้อมงคล. (2562). แรกสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: สยามความรู้. หน้า 190. ISBN 978-616-4-41530-0
  57. 57.0 57.1 กรรณิการ์ วิมลเกษม. (2552). ตําราเรียนอักษรไทยโบราณ อักษรขอมไทย อักษรธรรมล้านนา อักษรธรรมอีสาน. หน้า 14. ISBN 978-974-6-41252-0
  58. ชัยวุฒิ พิยะกูล, สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ. (2550). การปริวรรตวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ ประเภทหนังสือบุด เรื่อง ตําราพระเพลาวัดบางแก้ว. สงขลา: สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ. หน้า 4.
    • วารสารวัฒนธรรมไทย 25(2529):45.
  59. กรมศิลปากร. วารสารศิลปากร, 20(1-2)(2519):134–145. ISSN 0125-0531
  60. กรมศิลปากร, กองโบราณคดี. (2531). ตํานานและนิทานพื้นบ้านอีสาน. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 19. ISBN 978-974-7-93634-6
  61. 61.0 61.1 วินัย ผู้นำพล ขมลศิษฐ์ เดชกำธร และโสพล ช่วยสุก. (2552). วัฒนธรรมผสมในศิลปกรรมสยาม. กรุงเทพฯ: รุ่งศิลป์การพิมพ์. หน้า 348. ISBN 978-974-6-41261-2
  62. อนุมานราชธน (ยง เสฐียรโกเศศ), พระยา. (2533). งานนิพนธ์ชุดสมบูรณ์ของศาสตราจารย์พระยาอนุมานราชธน หมวดสุภาษิต เล่มที่ 1. กรุงเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว. หน้า 135. ISBN 974-417-136-7
    • ปีเตอร์ สกิลลิ่ง และศานติ ภักดีคำ. (2004). วรรณกรรมบาลีและฉบับแปล ในภาคกลางและภาคเหนือของสยาม (Pali and vernacular literature transmitted in Central and Northern Siam). กรุงเทพฯ: Lumbini International Research Institute และ The Fragile Palm Leaves Foundation. หน้า. 102-103. ISBN 978-974-1-33150-5
  63. กรมศิลปากร. วารสารศิลปากร, 35(2535):60. * มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย. วารสารช่อฟ้า, 25(7)(2533):38.
  64. 64.0 64.1 ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๓๔ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑(ต่อ)-๖๒) พงศาวดารเมืองเงินยาง (ต่อ) เชียงแสน ว่าด้วยเรื่องทูตฝรั่งสมัยกรุงรัตนโกสินทร์. กรุงเทพฯ: องค์การค้าของคุรุสภา, 2512.
  65. ธรรมทาส พานิช. (2515). พนม ทวารวดี ศรีวิชัย. กรุงเทพฯ: แพร่พิทยา. หน้า 152.* ธรรมทาส พานิช. (2533). นิพพานธรรม ในประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ. กรุงเทพฯ: อรุณวิทยา. หน้า 214. ISBN 978-974-8-56914-7
  66. กรมศิลปากร. (2526). อักขรานุกรมประวัติศาสตร์ไทย เล่ม 3. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 29.
  67. เยี่ยมยง ส. สุรกิจบรรหาร. (2523). "พระหลักเมืองสงขลา", ศิลปากร 24(2)(พฤษภาคม 2523):86.
  68. 68.0 68.1 ประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค), พระยา. (2516). พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค). (พิมพ์ครั้งที่ 7). กรุงเทพฯ: คลังวิทยา
  69. สำนักงานราชบัณฑิตยสภา. (2556, 26 สิงหาคม). ขอมดำดิน. สืบค้นเมื่อ 21 พฤษภาคม 2567. อ้างใน บทวิทยุรายการ “รู้ รัก ภาษาไทย” ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.
  70. กรมศิลปากร, สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ. (2554). งานช่างศิลปกรรมและสุนทรียภาพไทย-ญี่ปุ่น. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร. หน้า 33. ISBN 978-974-4-25064-3
    • ชลิต ชัยครรชิต. (2534). ขอนแก่น: ภูมิหลังบ้านเมืองตั้งแต่เริ่มแรก จนถึงพุทธศตวรรษที่ 19. ขอนแก่น: ศูนย์วัฒนธรรมอีสาน มหาวิทยาลัยขอนแก่น. หน้า 90–91. ISBN 978-974-5-55853-3
  71. คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2512). โบราณคดีนครราชสีมา. พระนคร: กรุงสยามการพิมพ์. หน้า 218.
  72. อุดม รุ่งเรืองศรี. (2547). พจนานุกรมล้านนา-ไทย ฉบับแม่ฟ้าหลวง. เชียงใหม่: คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. หน้า 80.
    • ศิรินันท์ บุญศิริ (อักษรศาสตร์ ๘ ว.), กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร. "เกร็ดความรู้จากการตรวจสอบชำระประชุมพงศาวดาร ปัญหาเรื่องศักราชและวันเดือนปีทางจันทรคติ", วารสารศิลปากร, 44(5)(กันยายน-ตุลาคม 2544):100.
  73. ชัยสิทธิ์ ปะนันวงค์. (2559). การศึกษาวิเคราะห์จารึกที่ฐานพระพุทธรูป พิพิธภัณฑ์วัดพระธาตุศรีดอนคํา อําเภอลอง จังหวัดแพร่. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต (จารึกศึกษา) มหาวิทยาลัยศิลปากร. หน้า 111-112.
  74. ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จ ฯ กรมพระยา. (2507). ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๑๔ (ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๒-๒๕). พระนคร: องค์การค้าของคุรุสภา. หน้า 74.
  75. เยาวชนไทยกับขแมร์ ร่วมเมิลขแมร์แลไทย ไทยรัฐ สืบค้นเมื่อ 3 พฤศจิกายน 2558
  76. "ผลงานบางส่วนของท่านจิตร ภูมิศักดิ์ 1". คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2008-07-06. สืบค้นเมื่อ 2008-07-21.
  77. ขอม กับ เขมร เทียบเคียงคำว่าสยามกับไทยรี มติชนออนไลน์ สืบค้นเมื่อ 13 มกราคม 2565