ข้ามไปเนื้อหา

สาธารณรัฐเซอร์เบีย (ค.ศ. 1992–2006)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สาธารณรัฐเซอร์เบีย

Република Србија
Republika Srbija
1992–2006

(1992—2004)

(2004—2006)

(1992—2004)
(2004—2006)
เพลงชาติХеј, Словени" (1992-2004)
"Hej, Sloveni"
เรา ชาวสลาฟ
Bože Pravde (2004-2006)
Боже правде
"เทพเจ้าแห่งความยุติธรรม"
เขตการปกครองของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร:
  •   เซอร์เบีย
  •   จังหวัดปกครองตนเองในเซอร์เบีย
สถานะรัฐองค์ประกอบของยูโกสลาเวีย
เมืองหลวงเบลเกรด
ภาษาทั่วไปภาษาเซอร์เบีย-โครเอเชีย
(1992-2006)
เดมะนิมชาวเซอร์เบีย
การปกครอง1992–2000:
รัฐพรรคการเมืองเดียว สาธารณรัฐระบบรัฐสภา
2000–2006:
สาธารณรัฐระบบรัฐสภา
ประธานาธิบดี 
• 1990–1997
สลอบอดัน มีลอเชวิช
• 1997–2002
มิลัน มิลูตีนอวิช
• 2002–2006
บอริส ตาดิช
นายกรัฐมนตรี 
• 1992–1993 (คนแรก)
ราดอมาน บอซอวิช
• 2004–2006 (สุดท้าย)
วอยีสลาฟ คอชตูนีตซา
สภานิติบัญญัติสมัชชาแห่งชาติ
ยุคประวัติศาสตร์สงครามยูโกสลาเวีย
• ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ
28 กันยายาน 1990 1992
27 เมษายน 1992
• มอนเตเนโกรประกาศเอกราช
3 มิถุนายน 2006
• การล่มสลายของสหภาพรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
5 มิถุนายน 2006 2006
พื้นที่
88,361 ตารางกิโลเมตร (34,116 ตารางไมล์)
ประชากร
• 
9313476
รหัส ISO 3166RS
ก่อนหน้า
ถัดไป
สาธารณรัฐสังคมนิยมเซอร์เบีย
เซอร์เบีย
คณะผู้แทนการบริหารชั่วคราวของสหประชาชาติในคอซอวอ

สาธารณรัฐเซอร์เบีย (เซอร์เบีย: Република Србија / Republika Srbija) เป็นรัฐที่เป็นองค์ประกอบของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียระหว่างปี 1992 ถึง 2003 และสหภาพแห่งรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกรระหว่าง 2003 ถึง 2006 [1] ด้วยการที่มอนเตเนโกรแยกตัวออกจากสหภาพกับเซอร์เบียในเดือนมิถุนายน 2006[2] ทั้งสองกลายเป็นรัฐอธิปไตยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 88 ปี[3]

หลังจากสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวียล่มสลายในปี 1990 สาธารณรัฐสังคมนิยมเซอร์เบียซึ่งนำโดยพรรคสังคมนิยมของ สลอบอดัน มีลอเชวิช ได้นำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มาใช้โดยประกาศตัวเองว่าเป็นสาธารณรัฐที่มีส่วนประกอบในยูโกสลาเวีย หลังจากการล่มสลายของยูโกสลสเวียล่มสลายในปี 1992 สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียได้ถูกก่อตั้งขึ้นซึ่งภายหลังปี 2003 รู้จักกันในชื่อเซอร์เบียและมอนเตเนโกร

เซอร์เบียอ้างว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสงครามบอสเนีย อย่างไรก็ตาม กลุ่มกบฏของชาวเซิร์บทั้งสองในบอสเนียและโครเอเชียต้องการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเซอร์เบียและต่อมาคือสาธารณรัฐเซิร์บกรายินาพยายามที่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งสาธารณรัฐเซอร์เบีย[4] แต่ ราดอวาน การาจิช ผู้นำทางการเมืองของเรปูบลิกาเซิร์ปสกา ประกาศว่าต้องการจะรวมเข้ากับเซอร์เบียโดยตรง ในขณะที่เซอร์เบียยอมรับจุดมุ่งหมายของทั้งสองหน่วยงานที่อยากจะผนวกรวมเข้ากับเซอร์เบีย [5]

ภูมิหลัง

[แก้]

ด้วยการล่มสลายของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (SFRY) ในปี 1992 สองสาธารณรัฐที่เป็นส่วนประกอบที่เหลืออยู่ของเซอร์เบียและมอนเตเนโกรตกลงที่จะจัดตั้งรัฐยูโกสลาเวียใหม่อย่างเป็นทางการซึ่งละทิ้งลัทธิคอมมิวนิสต์เพื่อสนับสนุนการจัดตั้งยูโกสลาเวียใหม่ตามระบอบประชาธิปไตย (แม้ว่าจะยังคงรักษาตราแผ่นดินคอมมิวนิสต์ไว้ก็ตาม) รัฐยูโกสลาเวียใหม่นี้มีชื่อว่าสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (FRY) และสาธารณรัฐสังคมนิยมเซอร์เบียได้เปลี่ยนชื่อเป็นสาธารณรัฐเซอร์เบียในปี 1990 หลังจากสันนิบาตคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียล่มสลาย แต่อดีตคอมมิวนิสต์ยังคงมีอิทธิพลในการเมืองของเซอร์เบียในช่วงสิบปีแรก เพราะพรรคสังคมนิยมเซอร์เบียที่ปกครองในขณะนั้นมีสายสัมพันธ์โดยตรงกับสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งเซอร์เบีย เซอร์เบียดูเหมือนจะเป็นสาธารณรัฐที่มีอำนาจเหนือกว่าในยูโกสลาเวียเพราะเนื่องจากขนาดและประชากรที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างสาธารณรัฐทั้งสอง แต่ภายในประเทศนั้นทั้งสองฝ่ายมีอิสระซึ่งกันและกัน และมีรัฐบาลกลางประกอบด้วยทั้งชาวมอนเตเนโกรและชาวเซอร์เบีย

สหพันธรัฐ

[แก้]
สลอบอดัน มีลอเชวิช, ประธานาธิบดีเซอร์เบียระหว่างปี 1989 ถึง 1997 และเป็นประธานาธิบดียูโกสลาเวียระหว่างปี 1997 ถึง 2000.
ซอรัน จีนจิช, นายกรัฐมนตรีเซอร์เบียระหว่างปี 2001 ถึง 2003.

การเมืองของเซอร์เบียในสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียยังคงสนับสนุนผลประโยชน์ของชาวเซิร์บในบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและโครเอเชีย ซึ่งประชากรเซิร์บในพื้นที่เหล่านี้ต้องการคงอยู่ในยูโกสลาเวีย ตั้งแต่ปี 1989 เซอร์เบียโดยมีสลอบอดัน มีลอเชวิช เป็นผู้นำซึ่งเคยเป็นคอมมิวนิสต์และสัญญาว่าจะปกป้องและส่งเสริมผลประโยชน์ของชาวเซิร์บในยูโกสลาเวีย ในปี 1992 เขาและประธานาธิบดีมอนเตเนโกร มอมีร์ บูลาตอวิช ได้ก่อตั้งสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ผู้วิจารณ์หลายคนในระดับนานาชาติเห็นว่าเซอร์เบียเป็นชาติที่มีอิทธิพลมากที่สุดในยูโกสลาเวีย โดยที่ประธานาธิบดีมีลอเชวิชดูเหมือนจะมีอิทธิพลมากกว่าประธานาธิบดีของยูโกสลาเวีย (ประธานาธิบดีคนแรก ดอบริตซา ชอซิช ถูกบังคับให้ลาออกเนื่องจากคัดค้านมีลอเชวิช) รัฐบาลมีลอเชวิชไม่ได้มีข้อเรียกร้องทางดินแดนต่อสาธารณรัฐมาซิโดเนีย แต่อย่างไรก็ตามมีบางคนอ้างว่ามิโลเชวิชเพียงแค่สนับสนุนการกำหนดตนของชาวเซิร์บที่ประกาศตัวเองว่ายังคงอยู่ในยูโกสลาเวีย

ในระหว่างสงครามยูโกสลาเวียในโครเอเชียและบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา มีลอเชวิชสนับสนุนกลุ่มกบฎชาวเซิร์บที่ต้องการแยกตัวออกจากรัฐที่เพิ่งก่อตั้งเหล่านี้ การสนับสนุนนี้ขยายไปยังบุคคลเช่น ผู้นำชาวเซิร์บในบอสเนีย ราดอวาน การาจิช และข้อกล่าวหาจากบุคคลบางกลุ่มในระดับนานาชาติได้กล่าวหาว่ามีลอเชวิชว่าเป็นผู้ควบคุมฝ่ายกบฎชาวเซิร์บในระหว่างสงคราม และได้อนุมัติว่าเป็นการกระทำที่เป็นอาชญากรรมสงคราม

ในปี 1995 มีลอเชวิชได้เป็นตัวแทนของชาวเซิร์บในบอสเนียในการลงนามความตกลงเดย์ตัน[6]และยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของเซอร์เบียจนถึงปี 1997 เมื่อเขาลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเซอร์เบียและกลายเป็นประธานาธิบดีของยูโกสลาเวีย มิลัน มิลูตีนอวิช เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีเซอร์เบียแทนมีลอเชวิชในปีนั้น

ตั้งแต่ปี 1996 ถึง 1999 เกิดความไม่มั่นคงทางการเมืองอย่างรุนแรงในจังหวัดปกครองตนเองคอซอวอซึ่งมีประชากรส่วยใหญ่เป็นชาวแอลเบเนีย ซึ่งนำไปสู่สงครามคอซอวอในปี 1998[7][8] จนถึงปี 1999[9] ในระหว่างสงครามคอซอวอ ยูโกสลาเวียได้ถูกเนโททิ้งระเบิดทางอากาศ[10] ซึ่งรวมถึงกรุงเบลเกรด ซึ่งเป็นทั้งเมืองหลวงของเซอร์เบียและเมืองหลวงของยูโกสลาเวีย และหลังจากนั้นยูโกสลาเวียยอมตกลงที่จะสละการควบคุมจังหวัดคอซอวอให้กับสหประชาชาติ ต่อมาในวันที่ 12 เมษายน 1999 สภาสหพันธ์ของยูโกสลาเวียได้ผ่าน "การตัดสินใจเกี่ยวกับการเข้าร่วมสหภาพรัฐระหว่างรัสเซียและเบลารุส"[11]

วอยีสลาฟ คอชตูนีตซา, ประธานาธิบดียูโกสลาเวียระหว่างปี 2000 ถึง 2003 และนายกรัฐมนตรีเซอร์เบียระหว่างปี 2004 ถึง 2006

สงครามยูโกสลาเวียทำให้เศรษฐกิจของเซอร์เบียตกต่ำเนื่องจากการคว่ำบาตรและภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง,[12]และความโกรธแค้นต่อการปกครองของมีลอเชวิชในตำแหน่งประธานาธิบดีของยูโกสลาเวีย สงครามและผลกระทบจากสงครามทำให้พรรคการเมืองชาตินิยมสุดโต่งของเซอร์เบียที่นำโดยวอยีสลาฟ เชเซลจ์ ซึ่งในการปราศรัยของเขาได้ส่งเสริมแนวคิดที่ว่าชาวเซอร์เบียควรที่จะอยู่ร่วมกันในรัฐเดียว เชเซลจ์มีส่วนร่วมในการรณรงค์เชื้อชาติของชาวเซิร์บเพื่อต่อต้านชาวโครแอตและชาวบอสนีแอกในระหว่างสงครามยูโกสลาเวีย เชเซลจ์ถูกจับกุมสองครั้งในปี 1994 และ 1995 โดยรัฐบาลยูโกสลาเวีย แต่ในที่สุดก็ได้กลายเป็นรองประธานาธิบดีเซอร์เบียระหว่างปี 1998 ถึง 2000 และในปี 2000 พลเมืองเซอร์เบียออกมาประท้วงการเลือกตั้งเมื่อมีลอเชวิชปฏิเสธที่จะลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดียูโกสลาเวียหลังจากการเลือกตั้ง โดยมีข้อกล่าวหาว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้ง[13] มิโลเชวิชถูกโค่นล้มจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2000 และลาออกอย่างเป็นทางการในวันถัดมา ต่อมาเขาถูกจับกุมในปี 2001 โดยเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางในข้อหาคอร์รัปชันระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่ง แต่ไม่นานก็ถูกส่งตัวไปยังกรุงเฮกเพื่อเผชิญข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม[14]

หลังจากการโค่นล้มมีลอเชวิช วอยีสลาฟ คอชตูนีตซา กลายเป็นประธานาธิบดีของยูโกสลาเวีย และในปี 2002 มิลูตีนอวิชซึ่งเป็นพันธมิตรขอมีลอเชวิชในฐานะประธานาธิบดีเซอร์เบียได้ลาออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้สิ้นสุดการปกครองโดยพรรคสังคมนิยมเซอร์เบียที่มีอำนาจในสาธารณรัฐแห่งนี้มานาน 12 ปี จากนั้นบอริส ตาดิช จากพรรคประชาธิปไตยได้เข้ามาแทนที่มิลูตีนอวิช

สมาพันธรัฐ

[แก้]

ในปี 2003 หลังจากการก่อตั้งสหพันธรัฐใหม่ เซอร์เบียกลายเป็นหนึ่งในรัฐองคืประกอบของสมาพันธรัฐนี้ร่วมกับมอนเตเนโกร การก่อตัวของสมาพันธรัฐเกิดขึ้นจากการเติบโตของลัทธิชาตินิยมมอนเตเนโกร โดยมอนเตเนโกรใช้สกุลเงินของภายนอกเป็นสกุลเงินที่ถูกกฎหมายมาหลายปี โดยเริ่มต้นจากมาร์คเยอรมัน และตั้งแต่ปี 2002 ก็ใช้ยูโรเป็นสกุลเงินอย่างเป็นทางการ ในขณะที่เซอร์เบียยังคงใช้เงินดีนาร์ยูโกสลาฟและธนาคารกลางยูโกสลาเวีย

ระหว่างปี 2003 ถึง 2006 เซอร์เบียเผชิญกับความขัดแย้งทางการเมืองภายในเกี่ยวกับทิศทางของประเทศ นักการเมืองเซอร์เบียมีความคิดเห็นแตกแยกเกี่ยวกับการตัดสินใจที่จะสร้างสมาพันธรัฐในตอนแรก ซอรัน จีนจิช ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนหลักของสมาพันธรัฐนี้ ถูกวิจารณ์โดยวอยีสลาฟ คอชตูนีตซา อดีตประธานาธิบดียูโกสลาเวีย ความโกรธแค้นของกลุ่มของชาตินิยมที่มีต่อจุดยืนของจีนจิชนำไปสู่การลอบสังหารเขาในเดือนมีนาคม 2003 ซึ่งทำให้เกิดการประกาศภาวะฉุกเฉิน[15] ในปี 2004, กลุ่มทางการเมืองที่สนับสนุนสหภาพยุโรปได้รวมตัวกันต่อต้านกลุ่มชาตินิยมที่คัดค้านการเข้าร่วมสหภาพยุโรปของเซอร์เบีย จนกว่าสหภาพยุโรปจะรับรองอำนาจอธิปไตยของเซอร์เบียในคอซอวอ[16]

ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2006 เซอร์เบียต้องเผชิญกับผลกระทบจากการลงประชามติเรื่องการแยกตัวเป็นเอกราชของมอนเตเนโกรจากสหภาพรัฐ[17] ชาวเซอร์เบียส่วนใหญ่ต้องการให้มอนเตเนโกรยังคงอยู่ในสหภาพรัฐ เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศและมอนเตเนโกรถูกมองว่าเป็นชาติเดียวกับเซอร์เบียทั้งในด้านวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ แม้จะมีการสนับสนุนการคงอยู่ในสหภาพ แต่กลุ่มสนับสนุนการแยกตัวก็ชนะการลงประชามติโดยได้คะแนนเกินกว่าร้อยละ 55 ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ สภาแห่งสาธารณรัฐมอนเตเนโกรได้ประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน[18]

เมื่อมอนเตเนโกรได้รับการยอมรับเอกราชแล้ว เซอร์เบียได้ประกาศตัวเองเป็นผู้สืบทอดทางกฎหมายและการเมืองของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร[19] เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1918 ที่เซอร์เบียประกาศจัดตั้งรัฐบาลและรัฐสภาของเซอร์เบีย และจะมีการรับรองรัฐธรรมนูญใหม่ในไม่ช้า[20] และนี่คือการยุติการรวมชาติกันระหว่างมอนเตเนโกรและเซอร์เบียในรอบ 88 ปี

อ้างอิง

[แก้]
  1. "Narodna skupstina Republike Srbije". web.archive.org. 2006-09-08. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2006-09-08. สืบค้นเมื่อ 2023-05-03.
  2. "Montenegro declares independence" (ภาษาอังกฤษแบบบริติช). 2006-06-04. สืบค้นเมื่อ 2023-07-12.
  3. "Serbia ends union with Montenegro". The Irish Times (ภาษาอังกฤษ).
  4. Prosecutor v. Milan Martić Judgement เก็บถาวร 4 สิงหาคม 2012 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน. p. 46. International Criminal Tribunal for the former Yugoslavia. Retrieved 13 September 2009.
  5. https://www.icty.org/x/cases/martic/tjug/en/070612.pdf
  6. Bonner, Raymond (24 November 1995). "In Reversal, Serbs of Bosnia Accept Peace Agreement". The New York Times. p. 1.
  7. Independent International Commission on Kosovo (2000). The Kosovo Report (PDF). Oxford: Oxford University Press. p. 2. ISBN 978-0199243099.
  8. Quackenbush, Stephen L. (2015). International Conflict: Logic and Evidence. Los Angeles: Sage. p. 202. ISBN 9781452240985.
  9. Boyle, Michael J. (2014). Violence After War: Explaining Instability in Post-Conflict States. Baltimore: Johns Hopkins University Press. p. 175. ISBN 9781421412573.
  10. "NATO hits Montenegro, says Milosevic faces dissent" เก็บถาวร 9 เมษายน 2008 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, CNN, 29 April 1999.
  11. "Одлука о приступању Савезне Републике Југославије Савезу Русије и Белорусије: 25/1999-1" [Decision on the accession of the Federal Republic of Yugoslavia to the Alliance of Russia and Belarus: 25/1999-1]. Službeni list SRJ. No. 25. Belgrade: Pravno informacioni sistem RS. 12 April 1999. สืบค้นเมื่อ 22 January 2023.
  12. Hanke, Steve H. (2007-05-07). "The World's Greatest Unreported Hyperinflation". Cato Institute. สืบค้นเมื่อ 2019-05-07 – โดยทาง May 2007 issue of Globe Asia.
  13. Boško Nicović (4 ตุลาคม 2010). "Hronologija: Od kraja bombardovanja do 5. oktobra" (ภาษาเซอร์เบีย). B92. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 26 สิงหาคม 2012. สืบค้นเมื่อ 29 มกราคม 2014.
  14. "Arrest and Transfer". International Criminal Tribunal for the former Yugoslavia.
  15. Danas – Zoran Đinđić murdered, state of emergency in Serbia เก็บถาวร 2010-11-10 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน, March 13, 2003
  16. Lozancic, Dragan (2 July 2008). "Kosovo: Adjusting to a "New Reality"". Marshallcenter.
  17. Nohlen, D & Stöver, P (2010) Elections in Europe: A data handbook, p1372 ISBN 978-3-8329-5609-7
  18. Montenegro declares independence BBC News, 4 June 2006
  19. srbija.gov.rs (31 May 2006). "Serbia inherits state and legal continuity of Serbia-Montenegro". www.srbija.gov.rs (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-03-04.
  20. srbija.gov.rs (31 May 2006). "New constitution to be adopted with consensus of all parliamentary parties". www.srbija.gov.rs (ภาษาอังกฤษ). สืบค้นเมื่อ 2022-03-04.

บรรณานุกรม

[แก้]

ดูเพิ่ม

[แก้]