ข้ามไปเนื้อหา

หลิว ฉือ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หลิว ฉือ
劉寔
เสนาบดีกลาโหม (太尉 ไท่เว่ย์)
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 309 (309) – ค.ศ. 307 (307)
กษัตริย์จักรพรรดิจิ้นหฺวาย
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 304
กษัตริย์จักรพรรดิจิ้นฮุ่ย
ราชครู (太傅 ไท่ฟู่)
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. ? (?) – ค.ศ. 302 (302)
กษัตริย์จักรพรรดิจิ้นฮุ่ย
มหาองครักษ์ (太保 ไท่เป่า)
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 301 (301) – ค.ศ. ? (?)
กษัตริย์จักรพรรดิจิ้นฮุ่ย
เสนาบดีโยธาธิการ (司空 ซือคง)
ดำรงตำแหน่ง
ค.ศ. 300 (300) – ค.ศ. 301 (301)
กษัตริย์จักรพรรดิจิ้นฮุ่ย
ข้อมูลส่วนบุคคล
เกิดค.ศ. 220
นครยฺหวี่เฉิง มณฑลชานตง
เสียชีวิตค.ศ. 310 (90 ปี)
คู่สมรส
  • หลูชื่อ
  • หฺวาชื่อ
บุตร
  • หลิว จี
  • หลิว เซี่ย
บุพการี
  • หลิว กว่าง (บิดา)
ญาติ
  • หลิว จื้อ (น้องชาย)
อาชีพขุนนาง
ชื่อรองจื่อเจิน (子真)
สมัญญานามยฺเหวียน (元)
บรรดาศักดิ์สฺวินหยางโหว (循陽侯)

หลิว ฉือ (จีน: 劉寔; พินอิน: Liú Shí; ค.ศ. 220-310) ชื่อรอง จื่อเจิน (จีน: 子真; พินอิน: Zǐzhēn) เป็นขุนนางของรัฐวุยก๊กในยุคสามก๊กของจีน ต่อมาเป็นขุนนางของราชวงศ์จิ้นตะวันตก

ประวัติ

[แก้]

หลิว ฉือเป็นชาวอำเภอเกาถาง (高唐縣 เกาถางเซี่ยน) เมืองเปงหงวน (平原郡 ผิง-ยฺเหวียนจฺวิ้น) ซึ่งปัจจุบันอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของนครยฺหวี่เฉิง มณฑลชานตง[1] เป็นผู้สืบเชื้อสายรุ่นที่ 12 ของหลิว ปั๋ว (劉勃) ผู้เป็นอ๋องแห่งเจปัก (濟北王 จี้เป่ย์หวาง)[2] บิดาของหลิว ฉือคือหลิว กว่าง (劉廣) รับราชการเป็นนายอำเภอ (令 ลิ่ง) ของอำเภอชื่อชิว (斥丘縣 ชื่อชิวเซี่ยน)[3]

ในช่วงที่หลิว ฉืออยู่ในวัยเด็ก ครอบครัวของหลิว ฉือมีฐานะยากจนและใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก จึงต้องขายวัวและเสื้อผ้าเพื่อยังชีพ[4] แต่หลิว ฉือก็ชอบศึกษาเรียนรู้อย่างมาก จึงมีความรอบรู้ทั้งในเรื่องสมัยโบราณและสมัยปัจจุบัน[5] ต่อมามณฑลและเมืองเสนอให้หลิว ฉือเข้ารับราชการ แต่หลิว ฉือปฏิเสธ[6] ภายหลังหลิว ฉือเดินทางมายังลกเอี๋ยง (洛陽 ลั่วหยาง) นครหลวงของวุยก๊กเพื่อรับราชการเป็นเจ้าหน้าที่บัญชี (計吏 จี้ลี่) ภายหลังได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าเมืองโห้หล้ำ (河南尹丞 เหอหนานอิ่นเฉิง), เจ้าพนักงานสำนักราชเลขาธิการ (尚書郎 ช่างชูหลาง) และผู้พิพากษาในสังกัดเสนาบดีตุลาการ (廷尉正 ถิงเว่ย์เจิ้ง)[7] ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานกรมบุคลากร (吏部郎 ลี่ปู้หลาง) เข้าร่วมในราชการทหารของอัครมหาเสนาบดี (สุมาเจียว) และได้รับการตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นสฺวินหยางจื่อ (循陽子)[8]

หลังสุมาเอี๋ยนสถาปนาราชวงศ์จิ้นตะวันตกในปี ค.ศ. 265 หลิว ฉือได้รับการตั้งให้มีบรรดาศักดิ์เป็นสฺวินหยางปั๋ว (循陽伯) และเลื่อนเป็นเสนาบดีเจ้ากรมมหาดเล็ก (少府 เฉาฝู่)[9] ต่อมาได้ดำรงตำแหน่งเป็นเสนาบดีพิธีการ (太常 ไท่ฉาง) และราชเลขาธิการ (尚書 ช่างชู)[10]

ในปี ค.ศ. 279 จักรพรรดิสุมาเอี๋ยนทรงส่งทัพราชวงศ์จิ้นเพื่อทำศึกพิชิตง่อก๊กที่เป็นรัฐอริ หลิว ฉือได้รับการตั้งให้เป็นรักษาการตุลาการทัพพิทักษ์ภาคใต้ (鎮南軍司 เจิ้นหนานจฺวินซือ)[11] ภายหลังหลิว เซี่ย (劉夏) บุตรชายของหลิว ฉือถูกปลดจากราชการเพราะถูกจับได้ว่าติดสินบน ต่อมาไม่นานหลิว ฉือได้รับตำแหน่งเสนาบดีพระคลัง (大司農 ต้าซือหนง) แต่ถูกปลดจากตำแหน่งเพราะความผิดของหลิว เซี่ยบุตรชาย[12] ต่อมาหลิว ฉือได้รับการแต่งตั้งใหม่เป็นอธิการบดีวิทยาลัยหลวง (國子祭酒 กั๋วจื่อจี้จิ่ว) และนายทหารม้ามหาดเล็ก (散騎常侍 ซานฉีฉางชื่อ)[13] หลังซือหม่า ยฺวี่ (司馬遹) พระโอรสองค์โตของรัชทายาทซือหม่า จง (司馬衷) ได้รับการตั้งให้เป็นอ๋องแห่งกองเหลง (廣陵王 กว่างหลิงหวาง) หลิว ฉือได้รับเลือกให้เป็นอาจารย์ถวายการสอนแก่ซือหม่า ยฺวี่[14]

ในปี ค.ศ. 291 หลิว ฉือ ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นสฺวินหยางโหว (循陽侯) ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นมหาองครักษ์ประจำองค์รัชทายาท (太子太保 ไท่จื่อไท่เป่า) และได้รับตำแหน่งเพิ่มเติมเป็นขุนนางมหาดเล็ก (侍中 ชื่อจง) ได้รับยศพิเศษ (特進 เท่จิ้น) ได้รับตำแหน่งขุนนางที่ปรึกษาผู้ใหญ่ฝ่ายขวา (右光祿大夫 โย่วกวางลู่ต้าฟู), ไคฝู่อี๋ถงซานซือ (開府儀同三司; "ผู้ได้รับอำนาจเปิดสำนักว่าราชการเทียบเท่าสามมหาเสนาบดี") และแม่ทัพมณฑลกิจิ๋ว (冀州都督 จี้โจวตูตู)[15]

ในปี ค.ศ. 300 หลิว ฉือได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีโยธาธิการ (司空 ซือคง) ต่อมาไม่นานก็ย้ายไปเป็นมหาองครักษ์ (太保 ไท่เป่า) และราชครู (太傅 ไท่ฟู่) ตามลำดับ[16]

ในปี ค.ศ. 302 หลิว ฉือลาออกจากตำแหน่งเพราะความชราและสุขภาพไม่ดี กลับมาพักผ่อนในจวนโดยยังคงบรรดาศักดิ์เดิม[17] แต่ในปีถัดมาได้เกิดสงครามกลางเมือง กำลังทหารของซือหม่า อ้าย (司馬乂) อ๋องแห่งเตียงสา (長沙王 ฉางชาหวาง) รบกับกำลังทหารพันธมิตรของซือหมา อิ่ง (司馬穎) อ๋องแห่งเซงโต๋ (成都王 เฉิงตูหวาง) และซือหม่า หยง (司馬顒) อ๋องแห่งโฮกั้น (河間王 เหอเจียนหวาง) ในนครหลวงลกเอี๋ยง ในระหว่างการรบมีทหารบุกเข้าปล้นจวนของหลิว ฉือ หลิวฉือจึงต้องกลับหนีกลับไปบ้านเกิดที่เมืองเปงหงวน[18]

ในปี ค.ศ. 304 หลิว ฉือได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกลาโหม (太尉 ไท่เว่ย์) แต่หลิว ฉือลาออกจากตำแหน่ง[19]

ในปี ค.ศ. 307 หลิว ฉือขอลาออกจากราชการเนื่องจากอายุมาก แต่ถูกปฏิเสธไม่ให้ลาออก และได้รับการแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกลาโหม จนกระทั่งปี ค.ศ. 309 จึงได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการ[20] หลิว ฉือเสียชีวิตในเวลาต่อมาอีกหนึ่งปีเศษ ขณะมีอายุ 91 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก) ได้รับสมัญญานามว่า "ยฺเหวียน" (元)[21]

ดูเพิ่ม

[แก้]

อ้างอิง

[แก้]
  1. (劉寔,字子真,平原高唐人也。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  2. 《元和姓纂四校记·卷五·364》:勃生崇,始居髙唐,十一代孫實字子真,晉太常循陽侯【A[岑校]生济北贞王勃 与汉表一四同。唯晋书四一刘寔传则云,汉济北惠王寿之后,殆误。】
  3. (漢濟北惠王壽之後也,父廣,斥丘令。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  4. (寔少貧苦,賣牛衣以自給。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  5. (然好學,手約繩,口誦書,博通古今。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  6. (郡察孝廉,州舉秀才,皆不行。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  7. (以計吏入洛,調為河南尹丞,遷尚書郎、廷尉正。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  8. (後曆吏部郎,參文帝相國軍事,封循陽子。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  9. (泰始初,進爵為伯,累遷少府。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  10. (咸甯中為太常。轉尚書。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  11. (杜預之伐吳也,寔以本官行鎮南軍司。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  12. (寔竟坐夏受賂,免官。頃之為大司農,又以夏罪免。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  13. (後起為國子祭酒、散騎常侍。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  14. (湣懷太子初封廣陵王,高選師友,以寔為師。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  15. (元康初,進爵為侯,累遷太子太保,加侍中、特進、右光祿大夫、開府儀同三司,領冀州都督。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  16. (九年,策拜司空,遷太保,轉太傅。。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  17. (太安初,寔以老病遜位,賜安車駟馬、錢百萬,以侯就第。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  18. (及長沙成都之相攻也,寔為軍人所掠,潛歸鄉里。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  19. (惠帝崩,寔赴山陵。懷帝即位,復授太尉。寔自陳年老,固辭,不許。) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  20. (三年,詔曰:「昔虞任五臣,致垂拱之化,漢相蕭何,興寧一之譽,故能光隆於當時,垂裕於百代。朕紹天明命,臨御萬邦,所以崇顯政道者,亦賴之於元臣庶尹,畢力股肱,以副至望。而君年耆告老,確然難違。今聽君以侯就第,位居三司之上,秩祿准舊,賜几杖不朝及宅一區。國之大政,將就諮於君,副朕意焉。」) จิ้นชู เล่มที่ 41.
  21. (歲余薨,時年九十一,諡曰元。) จิ้นชู เล่มที่ 41.

บรรณานุกรม

[แก้]